ผู้จัดการกองทุนชี้ นักลงทุนชะลอใส่เงินเข้ากองทุนหุ้นเอฟไอเอฟเพิ่ม หลังภาวะหุ้นทั่วโลกผันผวนจนผลตอบแทนลด ระบุอัตราการเติบโตของกองทุนในไตรมาส 1 - 3 มีสิทธิชะลอตัว ขณะที่ "บลจ.แมนูไลฟ์" ไม่หวั่น เผยผู้ถือหน่วยไม่ไถ่ถอน เหตุมั่นใจนโยบายการลงทุนของบริษัท ด้าน"วรวรรณ" แนะนักลงทุนในหุ้นชะลอถือเงินสดไว้ก่อน
รายงานข่าว ระบุว่า ปัจจุบันความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกค่อนข้างจะมีความผันผวนอย่างรุนแรง และส่วนใหญ่ดัชนีทั่วโลกก็ปรับตัวลดลงจากระดับในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้นักลงทุนบางส่วนชะลอการเข้ามาออกไปลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ที่เน้นลงทุนในตราสารทุน
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นทั่วโลก ส่งผลทำให้นักลงทุนบางส่วนชะลอการลงทุนในกองทุนเอฟไอเอฟ ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุน เนื่องมาจากผลตอบแทนลดลง
อย่างไรก็ตามจากการชะลอการลงทุนของนักลงทุน น่าจะส่งผลทำให้อัตราการเติบโตของกองทุนเอฟไอเอฟที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนในไตรมาส 1 ของปีนี้ ชะลอตัวลง แต่คงจะต้องขึ้นอยู่กับภาวะของตลาดหุ้นทั่วโลกด้วย โดยส่วนตัวคาดว่าการชะลอตัวของการเติบโตนี้น่าจะต่อเนื่อง และอาจจะกลับมาดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 เนื่องมาจากคงจะต้องอาศัยเวลาที่ตลาดจะลดความผันผวนลง และนักลงทุนจะกลับมามีความมั่นใจในการลงทุนอีกครั้งหนึ่ง
"ตอนนี้ความต้องการหายไปบ้าง และมีโอกาสที่ช่วงไตรมาส 1-3 ตัวเลขการเติบโตของกองทุนเอฟไอเอฟที่ลงในหุ้นจะชะลอตัวลงไป แต่นับว่าเป็นช่วง good timeing to buy เหมือนกัน ซึ่งแนะนำว่านักลงทุนควรจะใช้โอกาสที่หุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างมากทยอยซื้อ เพราะไม่มีใครรู้ว่าจุดต่ำสุดมันจะอยู่ตรงไหน ทำให้การลงทุนแบบทยอยซื้อน่าจะเหมาะสมกว่า" นายจุมพล กล่าว
นายอลัน แคม กรรมการผู้จัดการ บลจ. แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) กล่าวถึงสถานการณ์การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาว่า แม้ภาวะการลงทุนของทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดทุนหรือตลาดตราสารหนี้จะมีความผันผวนค่อนข้างมาก แต่ภาพรวมการซื้อขายหน่วยลงทุนของลูกค้าของบลจ. แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) นั้น ยังค่อนข้างนิ่งและยังไม่มีการขายหน่วยลงทุนอย่างมีนัยยะสำคัญแต่จากความผันผวนของสภาพตลาดก็ทำให้นักลงทุนบางส่วนมีการชะลอการลงทุนเหมือนกัน
ทั้งนี้ยอมรับว่าภาวะความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนของกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ แต่ในส่วนของกองทุนของบริษัทนั้น แม้ช่วงที่ผ่านมามูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) จะมีการปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นทั่วโลกบ้าง แต่ลูกค้ายังไม่มีการขายหน่วยลงทุน ซึ่งน่าจะเกิดมาจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในกลยุทธ์การลงทุนของบริษัท ที่ใช้การดำเนินนโยบายในลักษณะ Active ประกอบกับการพิจาณาถึงปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัท
อย่างไรก็ตามการที่ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมาก นับเป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนจะอาศัยเป็นช่วงในการซื้อเฉลี่ยเช่นเดียวกัน โดยในส่วนของตลาดหุ้นจีนนั้น แม้ตอนนี้จะมีความผันผวนสูง แต่โดยรวมจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจน่าจะยังคงมีการเติบโตต่อไปได้
ด้านนางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บลจ.บัวหลวง เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (อีเมอร์จิ้งมาร์เกต) เริ่มมีแรงเทขายจากนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่หุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์มีการปรับลดลงมารุนแรงด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามบริษัทประเมินว่าหุ้นใน 2 กลุ่มนี้ มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต
สำหรับปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ของสหรัฐนั้น แม้ว่าที่ผ่านมาจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจค่อนข้างมาก แต่ในระยะสั้น มีแนวโน้มว่าภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะปรับตัวดีขึ้นในระดับหนึ่ง เนื่องมาจากเริ่มมีเงินลงทุนไหลเข้ากลับไปในสหรัฐฯ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีการแข็งค่าขึ้น ประกอบกับเริ่มมีการนำบ้านออกขายเหมือนกับบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) และบริษัทเจพีมอร์แกน ได้มีการปรับราคาการซื้อหุ้นขึ้น แต่ทั้งนี้ปัจจัยบวกที่เกิดขึ้นจะเป็นช่วงในระยะสั้นเท่านั้น
"การลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น ปัจจัยบวกคงเป็นเรื่องที่รัฐบาลเริ่มออกมาตรการภาษี รวมถึงการมีเมกะโปรเจคต์ จึงทำให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจในส่วนหนึ่ง ส่วนด้านปัจจัยลบนั้นยังคงเป็นเรื่องของเสถียรภาพของรัฐกับมาตราที่ 237 ที่กำลังมีปัญหาอยู่ด้วย ถ้านักลงทุนเข้ามาลงทุนผ่านกองทุนรวมนั้นควรที่จะเข้ามาลงทุนในระยะยาวมากกว่าในระยะสั้น แต่ถ้าเป็นนักลงทุนที่ลงทุนโดยตรง ควรชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นการชั่วคราวเพื่อรอดูสถานการณ์ให้แน่ชัด และควรที่จะทำการถือเงินสดไว้จะดีที่สุด" นางวรวรรณ กล่าว
รายงานข่าว ระบุว่า ปัจจุบันความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกค่อนข้างจะมีความผันผวนอย่างรุนแรง และส่วนใหญ่ดัชนีทั่วโลกก็ปรับตัวลดลงจากระดับในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้นักลงทุนบางส่วนชะลอการเข้ามาออกไปลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ที่เน้นลงทุนในตราสารทุน
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นทั่วโลก ส่งผลทำให้นักลงทุนบางส่วนชะลอการลงทุนในกองทุนเอฟไอเอฟ ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุน เนื่องมาจากผลตอบแทนลดลง
อย่างไรก็ตามจากการชะลอการลงทุนของนักลงทุน น่าจะส่งผลทำให้อัตราการเติบโตของกองทุนเอฟไอเอฟที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนในไตรมาส 1 ของปีนี้ ชะลอตัวลง แต่คงจะต้องขึ้นอยู่กับภาวะของตลาดหุ้นทั่วโลกด้วย โดยส่วนตัวคาดว่าการชะลอตัวของการเติบโตนี้น่าจะต่อเนื่อง และอาจจะกลับมาดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 เนื่องมาจากคงจะต้องอาศัยเวลาที่ตลาดจะลดความผันผวนลง และนักลงทุนจะกลับมามีความมั่นใจในการลงทุนอีกครั้งหนึ่ง
"ตอนนี้ความต้องการหายไปบ้าง และมีโอกาสที่ช่วงไตรมาส 1-3 ตัวเลขการเติบโตของกองทุนเอฟไอเอฟที่ลงในหุ้นจะชะลอตัวลงไป แต่นับว่าเป็นช่วง good timeing to buy เหมือนกัน ซึ่งแนะนำว่านักลงทุนควรจะใช้โอกาสที่หุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างมากทยอยซื้อ เพราะไม่มีใครรู้ว่าจุดต่ำสุดมันจะอยู่ตรงไหน ทำให้การลงทุนแบบทยอยซื้อน่าจะเหมาะสมกว่า" นายจุมพล กล่าว
นายอลัน แคม กรรมการผู้จัดการ บลจ. แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) กล่าวถึงสถานการณ์การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาว่า แม้ภาวะการลงทุนของทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดทุนหรือตลาดตราสารหนี้จะมีความผันผวนค่อนข้างมาก แต่ภาพรวมการซื้อขายหน่วยลงทุนของลูกค้าของบลจ. แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) นั้น ยังค่อนข้างนิ่งและยังไม่มีการขายหน่วยลงทุนอย่างมีนัยยะสำคัญแต่จากความผันผวนของสภาพตลาดก็ทำให้นักลงทุนบางส่วนมีการชะลอการลงทุนเหมือนกัน
ทั้งนี้ยอมรับว่าภาวะความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนของกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ แต่ในส่วนของกองทุนของบริษัทนั้น แม้ช่วงที่ผ่านมามูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) จะมีการปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นทั่วโลกบ้าง แต่ลูกค้ายังไม่มีการขายหน่วยลงทุน ซึ่งน่าจะเกิดมาจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในกลยุทธ์การลงทุนของบริษัท ที่ใช้การดำเนินนโยบายในลักษณะ Active ประกอบกับการพิจาณาถึงปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัท
อย่างไรก็ตามการที่ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมาก นับเป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนจะอาศัยเป็นช่วงในการซื้อเฉลี่ยเช่นเดียวกัน โดยในส่วนของตลาดหุ้นจีนนั้น แม้ตอนนี้จะมีความผันผวนสูง แต่โดยรวมจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจน่าจะยังคงมีการเติบโตต่อไปได้
ด้านนางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บลจ.บัวหลวง เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (อีเมอร์จิ้งมาร์เกต) เริ่มมีแรงเทขายจากนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่หุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์มีการปรับลดลงมารุนแรงด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามบริษัทประเมินว่าหุ้นใน 2 กลุ่มนี้ มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต
สำหรับปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ของสหรัฐนั้น แม้ว่าที่ผ่านมาจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจค่อนข้างมาก แต่ในระยะสั้น มีแนวโน้มว่าภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะปรับตัวดีขึ้นในระดับหนึ่ง เนื่องมาจากเริ่มมีเงินลงทุนไหลเข้ากลับไปในสหรัฐฯ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีการแข็งค่าขึ้น ประกอบกับเริ่มมีการนำบ้านออกขายเหมือนกับบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) และบริษัทเจพีมอร์แกน ได้มีการปรับราคาการซื้อหุ้นขึ้น แต่ทั้งนี้ปัจจัยบวกที่เกิดขึ้นจะเป็นช่วงในระยะสั้นเท่านั้น
"การลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น ปัจจัยบวกคงเป็นเรื่องที่รัฐบาลเริ่มออกมาตรการภาษี รวมถึงการมีเมกะโปรเจคต์ จึงทำให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจในส่วนหนึ่ง ส่วนด้านปัจจัยลบนั้นยังคงเป็นเรื่องของเสถียรภาพของรัฐกับมาตราที่ 237 ที่กำลังมีปัญหาอยู่ด้วย ถ้านักลงทุนเข้ามาลงทุนผ่านกองทุนรวมนั้นควรที่จะเข้ามาลงทุนในระยะยาวมากกว่าในระยะสั้น แต่ถ้าเป็นนักลงทุนที่ลงทุนโดยตรง ควรชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นการชั่วคราวเพื่อรอดูสถานการณ์ให้แน่ชัด และควรที่จะทำการถือเงินสดไว้จะดีที่สุด" นางวรวรรณ กล่าว
