xs
xsm
sm
md
lg

NAVกองเอฟไอเอฟแดนมังกรรูด ผู้บริหารบลจ.การันตีอย่าวิตก-ระยะยาวสดใส

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้บริหารบลจ.ให้กำลังใจผู้ถือหน่วย กองทุนเอฟไอเอฟที่ลงทุนในหุ้นเมืองจีน หลังพิษซับไพรม์สหรัฐฉุดดัชนีหุ้นแดนมังกรรูดจนมูลค่าเอ็นวีหดเหลือแค่ 6 บาทกว่าๆ ชี้เป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น แต่ในระยะยาวเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนยังมีแนวโน้มการเติบโตอีกมาก ยืนยันหลายฝ่ายประเมินจากปัจจัยพื้นฐานของประเทศที่แข็งแกร่ง สามารถสร้างผลตอบแทนที่ได้ในอนาคต

รายงานข่าวระบุว่า ช่วงที่ผ่านมาภาวะตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจากความวิตกเกี่ยวกับปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) และความกังวลเกี่ยวกับการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยการที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงนั้นนอกจากจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดดังกล่าวแล้วยังส่งผลไปถึงกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ)ของบริษัทจัดการลงทุนไทย ที่มีนโยบายลงทุนในตลาดหุ้นจีนเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ จากการสำรวจของ"ผู้จัดการรายวัน" พบว่า มูลค่าหน่วยลงทุน (เอ็นเอวี) ของกองทุนเอฟไอเอฟที่มีนโยบายลงทุนในตลาดหุ้นจีน จำนวน 4 กองทุนนั้น มีมูลค่าหน่วยลงทุนปรับตัวลดลงจากราคาในช่วงเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ค่อนข้างมาก โดยกองทุนเปิดทหารไทย ไชน่า อิควิตี้ อินเด็กซ์ กองทุนภายใต้การบริหารจัดการของบลจ.ทหารไทย ณ วันที่ 21 มีนาคม 2551 มีมูลค่าหน่วยลงทุน 6.4448 บาท ต่อหน่วย ลดลงจากราคาไอพีโอที่ 10.00 บาท กว่า 3.5552 บาท หรือ 35.55%

ขณะที่ กองทุนเปิดทิสโก้ ไชน่า อินเดีย เพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนเปิดทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์ ของบลจ.ทิสโก้ ซึ่งมีการแบ่งสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศจีนด้วยเช่นเดียวกัน พบว่าเป็นอีกสองกองทุนที่มีมูลค่าหน่วยลงทุนปรับตัวลดลง โดย ณ วันที่ 21 มีนาคม 2551 กองทุนเปิดทิสโก้ ไชน่า อินเดีย เพื่อการเลี้ยงชีพ มีมูลค่าหน่วยลงทุน 6.2818 บาท จากราคาหน่วยลงทุนช่วงไอพีโอที่ 10.00 บาท คิดเป็นการลดลง 3.7182 บาท หรือ 37.18% ขณะที่กองทุนเปิดทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์ นั้น มีมูลค่าหน่วยลงทุน 6.0172 บาท ลดลง 3.9828 บาท หรือ 39.82% จากราคาที่ตราไว้ที่ 10.00 บาท

นอกจากนี้ กองทุนยูโอบี สมาร์ท เกรธเธอร์ ไชน่า กองทุนภายใต้การบริการจัดการของบลจ.ยูโอบี (ไทย) ณ วันที่ 21 มีนาคม 2551 มีมูลค่าหน่วยลงทุน 6.2549 บาท ลดลงจากราคาที่ตราไว้ที่ 10.00 บาท กว่า 3.7451 บาท หรือ 37.45%

นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการหัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนเปิด ทิสโก้ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนท์ ฟันด์ และกองทุนเปิดทิสโก้ ไชน่า อินเดีย เพื่อการเลี้ยงชีพ มีการปรับตัวลดลง ส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์ของตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งปรับตัวลดลงจากความตื่นตระหนก อันเนื่องมากจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวของประเทศสหรัฐอเมริกา

"กองทุนประเภทนี้จะลงทุนในอินเด็กซ์ ที่เป็นอีทีเอฟ ซึ่งซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นฮ่องกง และช่วงที่ผ่านได้รับผลกระทบจากตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวลดลงจากความกังวลในปัญหาของประเทศสหรัฐอเมริกา แต่นักวิเคราะห์เองยังมองว่าการปรับตัวในครั้งนี้น่าจะเป็นการปรับตัวที่เกินความจริง โดยหากมองจากปัจจัยต่างๆ ของประเทศจีนและอินเดียแล้วน่าจะได้รับผลกระทบไม่มากเท่านี้"นายธีรนาถกล่าว

อย่างไรก็ตามถ้ามองในระยะยาว จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นในประเทศจีนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยหากดูตัวเลขใน 3 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตถึง 300% หรือเฉลี่ยแล้วประมาณ 100% ต่อปี และเมื่อพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นประเทศจีนแล้วน่าจะทำให้ดัชนีมีการปรับตัวดีขึ้นมาได้ ซึ่งการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะเป็นตัวกระตุ้นตลาดที่ดีได้หลังจากนี้

"ตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มอัตราการเติบโตที่ดี และเมื่อมีการประกาศผลประกอบการออกมาน่าจะทำให้ดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งเท่าที่ได้รับรู้มาตอนนี้ ผลประกอบการที่ออกมาถือว่าดีมาก ซึ่งนักลงทุนที่ยังไม่เคยลงทุนและรับความเสี่ยงจากหุ้นได้ คงจะเป็นโอกาสที่เหมาะในการช้อนซื้อเพื่อทำกำไร ส่วนนักลงทุนที่ลงทุนไปก่อนหน้านี้แล้ว น่าจะเป็นการถั่วเฉลี่ยต้นทุนไปในตัวได้ โดยผลกระทบจากการปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ คงจะบอกไม่เนื่องจากเรื่องจริงกับผลที่ออกมาบ้างที่มันต่างกัน แต่หากผลประกอบการออกมาดีแล้วเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่จะหันกลับมาลงทุนมากขึ้น ส่วนจะเร็วหรือช้าต้องขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่นักลงทุนแต่ละคนรับได้ด้วย" นายธีรนาถกล่าว

นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า จากภาวะความผันผวนของตลาดหุ้นจีนในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีนได้รับผลกระทบและปรับตัวลดลงไปด้วย อย่างไรก็ตามสำหรับการลงทุนในจีนนั้น หลายฝ่ายยังคงประเมินว่าจะเป็นการลงทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี เนื่องมาจากปัจจัยฟื้นฐานของประเทศ

"หลายฝ่ายก็ยังมองเหมือนกันว่า การลงทุนในจีนนั้น น่าจะยังคงสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว"นางโชติกา กล่าว

ด้านนายธิติ ธาราสุข ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ทิศทางของตลาดฮั่งเส็งของฮ่องกงนั้น แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาดัชนีจะมีการปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก แต่อาจจะยังไม่ใช่ระดับที่ต่ำที่สุด เนื่องมาจากโดยภาพรวมดัชนีตลาดฮั่งเส็งยังคงเป็นขาลง และมีโอกาสที่จะปรับตัวลงไปเคลื่อนไหวในระดับ 20,000 จุด อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีสัญญาณว่าตลาดฮั่งเส็งมีสัญญาณว่าดัชนีอาจจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อยเช่นเดียวกัน

"โดยภาพรวมตอนนี้ ดัชนียังลงไม่เต็มที่และคาดเดาสถานการณ์ได้ยาก ทำให้นักลงทุนที่อยากจะเข้าไปลงทุนควรชะลอการลงทุนก่อนโดยถ้าดัชนีฮั่งเส็งสามารถยืนอยู่ในระดับ 23,000 จุดได้ ดัชนีก็จะสามารถปรับตัวเป็นขาขึ้นได้อีกครั้ง ซึ่งสำหรับนักลงทุนที่สนใจถ้าไม่รอเก็บตอนที่หุ้นอยู่ที่ระดับ 20,000 จุด ก็ควรรอให้ดัชนียืนอยู่ที่ 23,000 จุด เพื่อความปลอดภัย" นายธิติ กล่าว

อย่างไรก็ตามในภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ยังเป็นขาลง ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้มีการปรับลดดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่องทำให้มีแนวโน้มว่าอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกน่าจะเป็นขาลงตามไปด้วย ดังนั้นนักลงทุนควรจะอาศัยจังหวะนี้ ในการโยกย้านเงินไปลงทุนในตราสารหนี้หรือพันธบัตรซึ่งจได้รับอัตราผลตอบแทนที่ดีกว่าในช่วงภาวะดอกเบี้ยขาลงนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น