บลจ.บัวหลวง เตรียมจ่ายปันผลกองทุนหุ้น “บัวแก้วปันผล” ผู้ถือหน่วยเตรียมรับทรัพย์พร้อมกันในวันที่ 13 มีนาคมนี้ ในอัตรา 0.34 บาทต่อหน่วย
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทจัดการจะทำการปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงเพื่อสิทธิในการรับปันผลของกองทุนเปิดบัวแก้วปันผล สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2550 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2550 โดยบริษัทจะหยุดขายหน่วยลงทุนกองทุนเปิดบัวแก้วปันผล (BKD) เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 ถึงวันที่ 12 มีนาคม 2551 แต่ยังคงรับซื้อคืนหน่วยลงทุนได้ตามปกติด เพื่อจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.34 บาทต่อหน่วยลงทุน และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 13 มีนาคม 2551 นี้
สำหรับผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 25 มกราคม 2551 กองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -15.31% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -15.07% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -5.81% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -12.03% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 34.08% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 15.52% ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 48.98% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 8.27% และผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 0.17% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -41.62% ส่วนมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนในขณะนี้มีอยู่ที่ 723.16 ล้านบาท และมูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 5.82 บาทต่อหน่วย
ขณะที่ สัดส่วนการลงทุนคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ณ วันที่ 25 มกราคม 2551 กองทุนBKDลงทุนในตราสารทุน 86.28% โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มพลังงาน 42.79% , กลุ่มธนาคารพาณิชย์ 32.46% , กลุ่มขนส่งแลโลจิสติกส์ 6.17% , กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 1.71% , กลุ่มสื่อสาร 0.99% และกลุ่มอื่น ๆ 2.16% ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากนั้นกองทุนเข้าไปลงทุนทั้งสิ้น 15.43% และอื่น ๆ อีก -1.71% รวมทั้งสิ้น 100%
ทั้งนี้ 10 อันดับแรกของตราสารคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ณ วันที่ 25 มกราคม 2551 ประกอบไปด้วย 1. บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) 11.45% 2. บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) 10.47% 3. ธนาคารกรุงเทพ 10.00% 4. ธนาคารกสิกรไทย 8.49% 5. บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) 7.45% 6. ธนาคารไทยพาณิชย์ 6.19% 7. บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) 5.34% 8. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 5.08% 9. บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลติ้ง จำกัด (มหาชน) 3.02% และ 10. บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) 2.65%
โดยกองทุนBKDได้ทำการจ่ายเงินปันผลด้วยกัน 3 ครั้ง ซึ่งครั้งแรกกองทุนได้ทำการจ่ายเงินปันผลเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2549 ในอัตรา 1.03 บาทต่อหน่วย ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2550 กองทุนได้ทำการจ่ายเงินปันผลไปจำนวน 0.21 บาทต่อหน่วย ครั้งที่สามกองทุนทำการจ่ายเงินปันผลไปเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2550 ในอัตรา 0.46 บาทต่อหน่วย และเงินปันผลสะสมตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ในอัตรา 4.40 บาทต่อหน่วย
กองทุนเปิดบัวแก้วปันผล จดทะเบียนเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2537 ด้วยมูลค่าโครงการครั้งแรก 5,000 ล้านบาท โดยกองทุนเน้นการลงทุนระยะปานกลางและระยะยาวในหลักทรัพย์ของบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจสูง หรือมีปัจจัยพื้นฐานดีโดยจะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารแห่งทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารแห่งหนี้ เงินฝาก หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ขณะเดียวกันกองทุนมีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนปีละ 2 ครั้ง โดยในการจ่ายเงินปันผลแต่ละครั้งบริษัทจัดการจะพิจารณาจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในอัตรา 95% จากกำไรสะสมหรือกำไรสุทธิจากการดำเนินงานประจำแต่ละงวดบัญชีของโครงการที่จ่ายเงินปันผลในกรณีที่สินทรัพย์สุทธิที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินงานในแต่ละงวดบัญชีต่ำกว่า 0.02 บาทต่อหน่วยลงทุน บริษัทจัดการจะไม่จ่ายเงินปันผลในงวดนั้น ๆ แต่จะยกยอดผลรวมไปในงวดบัญชีต่อไป ทั้งนี้ เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินปันผล
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทจัดการจะทำการปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงเพื่อสิทธิในการรับปันผลของกองทุนเปิดบัวแก้วปันผล สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2550 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2550 โดยบริษัทจะหยุดขายหน่วยลงทุนกองทุนเปิดบัวแก้วปันผล (BKD) เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 ถึงวันที่ 12 มีนาคม 2551 แต่ยังคงรับซื้อคืนหน่วยลงทุนได้ตามปกติด เพื่อจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.34 บาทต่อหน่วยลงทุน และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 13 มีนาคม 2551 นี้
สำหรับผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 25 มกราคม 2551 กองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -15.31% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -15.07% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -5.81% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -12.03% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 34.08% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 15.52% ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 48.98% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 8.27% และผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 0.17% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -41.62% ส่วนมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนในขณะนี้มีอยู่ที่ 723.16 ล้านบาท และมูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 5.82 บาทต่อหน่วย
ขณะที่ สัดส่วนการลงทุนคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ณ วันที่ 25 มกราคม 2551 กองทุนBKDลงทุนในตราสารทุน 86.28% โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มพลังงาน 42.79% , กลุ่มธนาคารพาณิชย์ 32.46% , กลุ่มขนส่งแลโลจิสติกส์ 6.17% , กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 1.71% , กลุ่มสื่อสาร 0.99% และกลุ่มอื่น ๆ 2.16% ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากนั้นกองทุนเข้าไปลงทุนทั้งสิ้น 15.43% และอื่น ๆ อีก -1.71% รวมทั้งสิ้น 100%
ทั้งนี้ 10 อันดับแรกของตราสารคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ณ วันที่ 25 มกราคม 2551 ประกอบไปด้วย 1. บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) 11.45% 2. บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) 10.47% 3. ธนาคารกรุงเทพ 10.00% 4. ธนาคารกสิกรไทย 8.49% 5. บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) 7.45% 6. ธนาคารไทยพาณิชย์ 6.19% 7. บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) 5.34% 8. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 5.08% 9. บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลติ้ง จำกัด (มหาชน) 3.02% และ 10. บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) 2.65%
โดยกองทุนBKDได้ทำการจ่ายเงินปันผลด้วยกัน 3 ครั้ง ซึ่งครั้งแรกกองทุนได้ทำการจ่ายเงินปันผลเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2549 ในอัตรา 1.03 บาทต่อหน่วย ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2550 กองทุนได้ทำการจ่ายเงินปันผลไปจำนวน 0.21 บาทต่อหน่วย ครั้งที่สามกองทุนทำการจ่ายเงินปันผลไปเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2550 ในอัตรา 0.46 บาทต่อหน่วย และเงินปันผลสะสมตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ในอัตรา 4.40 บาทต่อหน่วย
กองทุนเปิดบัวแก้วปันผล จดทะเบียนเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2537 ด้วยมูลค่าโครงการครั้งแรก 5,000 ล้านบาท โดยกองทุนเน้นการลงทุนระยะปานกลางและระยะยาวในหลักทรัพย์ของบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจสูง หรือมีปัจจัยพื้นฐานดีโดยจะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารแห่งทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารแห่งหนี้ เงินฝาก หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ขณะเดียวกันกองทุนมีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนปีละ 2 ครั้ง โดยในการจ่ายเงินปันผลแต่ละครั้งบริษัทจัดการจะพิจารณาจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในอัตรา 95% จากกำไรสะสมหรือกำไรสุทธิจากการดำเนินงานประจำแต่ละงวดบัญชีของโครงการที่จ่ายเงินปันผลในกรณีที่สินทรัพย์สุทธิที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินงานในแต่ละงวดบัญชีต่ำกว่า 0.02 บาทต่อหน่วยลงทุน บริษัทจัดการจะไม่จ่ายเงินปันผลในงวดนั้น ๆ แต่จะยกยอดผลรวมไปในงวดบัญชีต่อไป ทั้งนี้ เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินปันผล