บลจ.ยูโอบีเตรียมออกกองทุนสตรักเจอร์โน้ต มูลค่า 1,700 ล้านบาท ปลายเดือนมีนาคมนี้ เมินออกกองทุนเครดิตลิงก์โน้ต หลังศึกษาแล้วพบว่าไม่เวิร์ก พุ่งเป้าขาย "กองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลี" สุดตัว เหตุผลตอบแทนไม่แตกต่างกัน พร้อมชูเป็นแหล่งพักเงินนักลงทุน ส่วนรางวัล "The Post-Lipper” ของกองทุนเปิดกำไรเพิ่มพูน ได้อานิสงส์จากผลตอบแทนดีในระยะยาว
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมออกกองทุนที่ลงทุนในสตรักเจอร์โน้ต (ตราสารหนี้จัดโครงสร้าง) มูลค่าประมาณ 1,700 ล้านบาท โดยอยู่ในระหว่างการยื่นขออนุมัติกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คาดว่าจะสามารถเปิดเสนอขายครั้งแรก (ไอพีโอ) ได้ประมาณปลายเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายน 2551
ส่วนกองทุนรวมที่ลงทุนในเครดิตลิงก์โน้ต หลังจากได้ศึกษาข้อมูลและรายละเอียดแล้ว บริษัทไม่มีความสนใจในการออกกองทุนประเภทนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงมากกว่ากองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลี ที่บริษัทเน้นขายในขณะนี้ แต่ให้ผลตอบแทนในระดับที่ใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ กองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลียังมีสภาพคล่องมากกว่า เนื่องจากสามารถเข้าออกได้ทุกวัน
ทั้งนี้ บริษัทจะเน้นการขายกองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลี ซึ่งเหมาะสมกับสถานการณ์ที่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองเงินฝากจะเริ่มมีผลบังคับใช้ประมาณกลางปีนี้ โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 18,000 ล้านบาท และในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนเพิ่มขึ้นถึง 4,000 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์ตลาดหุ้นมีความผันผวน นักลงทุนต้องการพักเงินไว้ในอะไรที่มีความเสี่ยงต่ำ และรอให้สถานการณ์ดีก่อนแล้วกลับเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง
โดยกองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลี จะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเป็นตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประมาณ 95% และส่วนที่เหลือจะเป็นเงินฝากธนาคาร 5% และคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 2.7-2.8% ต่อปี
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลี สิ้นสุด ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2551 สามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2.74% ขณะที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2.31% และผลตอบแทนจากดัชนีกองทุนตราสารหนี้ย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 20.51% ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.74% ขณะที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.33% และผลตอบแทนจากดัชนีกองทุนตราสารหนี้ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 13.60% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.70% ขณะที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.35% และผลตอบแทนจากดัชนีกองทุนตราสารหนี้ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 6.98% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 3.06% ขณะที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 2.58% และผลตอบแทนจากดัชนีกองทุนตราสารหนี้ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 5.25%
นายวนา กล่าวว่า บริษัทยังไม่มีแผนในการออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์) เนื่องจากยังไม่มีทรัพย์สินที่น่าสนใจลงทุน แต่หากจะออกกองทุนประเภทดังกล่าวจะเน้นการลงทุนแบบซื้อกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ (ฟรีโฮลด์) มากกว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนในสิทธิการเช่า (ลิสต์โฮลด์)
ส่วนการที่กองทุนเปิดกำไรเพิ่มพูนได้รับรางวัลกองทุนตราสารทุนที่ดีที่สุดในระยะเวลา 10 ปีจาก "The Post-Lipper Thailand Fund Awards 2008" ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นการลงทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ความสม่ำเสมอของการลงทุน และธุรกิจมีการทำกำไรได้ดี รักษากำไรได้นาน มีผู้บริหารที่มีความน่าเชื่อถือ และมีวิสัยทัศน์ที่ดี รวมทั้งการเป็นบรรษัทภิบาลที่ดีด้วย โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยไม่อิงกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดมาก และลงทุนในหุ้นที่มีเงินปันผลสูงและมีขนาดอันดับต้นของอุตสาหกรรม ซึ่งมีความได้เปรียบในเรื่องของขนาด และต้นทุน และความสามารถในการต่อรองราคา ไม่มีหนื้สินมากเกินไป ส่วนในแง่ที่เป็นหุ้นที่มีกระแสเงินไหลเวียนสูงนั้นเป็นเรื่องรองลงมา
ทั้งนี้ จากการสำรวจพอร์ตการลงทุน ส่วนใหญ่อยู่ในหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก โดยพอร์ตการลงทุนในหลักทรัพย์ 10 อันดับแรกที่กองทุนลงทุน ณ เดือนพฤศจิกายน 2550 ประกอบด้วย 1.หุ้นสามัญ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 19.33% 2.บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) 9.93% 3.ธนาคารกสิกรไทย 9.16% 4. บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) 7.71% 5.ธนาคารไทยพาณิชย์ 6.71% 6.ธนาคารกรุงเทพ 5.25% 7.บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) 4.42% บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) 2.93% บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) 2.85% บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) 2.68%
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดกำไรเพิ่มพูน สิ้นสุด ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2551 สามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -2.48% เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ -3.67% ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -0.71% เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ -2.64% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 16.12% เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 9.00% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 30.19% เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 20.15% ขณะที่ย้อนหลัง 3 ปีให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 33.14% เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 12.09%
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมออกกองทุนที่ลงทุนในสตรักเจอร์โน้ต (ตราสารหนี้จัดโครงสร้าง) มูลค่าประมาณ 1,700 ล้านบาท โดยอยู่ในระหว่างการยื่นขออนุมัติกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คาดว่าจะสามารถเปิดเสนอขายครั้งแรก (ไอพีโอ) ได้ประมาณปลายเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายน 2551
ส่วนกองทุนรวมที่ลงทุนในเครดิตลิงก์โน้ต หลังจากได้ศึกษาข้อมูลและรายละเอียดแล้ว บริษัทไม่มีความสนใจในการออกกองทุนประเภทนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงมากกว่ากองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลี ที่บริษัทเน้นขายในขณะนี้ แต่ให้ผลตอบแทนในระดับที่ใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ กองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลียังมีสภาพคล่องมากกว่า เนื่องจากสามารถเข้าออกได้ทุกวัน
ทั้งนี้ บริษัทจะเน้นการขายกองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลี ซึ่งเหมาะสมกับสถานการณ์ที่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองเงินฝากจะเริ่มมีผลบังคับใช้ประมาณกลางปีนี้ โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 18,000 ล้านบาท และในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนเพิ่มขึ้นถึง 4,000 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์ตลาดหุ้นมีความผันผวน นักลงทุนต้องการพักเงินไว้ในอะไรที่มีความเสี่ยงต่ำ และรอให้สถานการณ์ดีก่อนแล้วกลับเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง
โดยกองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลี จะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเป็นตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประมาณ 95% และส่วนที่เหลือจะเป็นเงินฝากธนาคาร 5% และคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 2.7-2.8% ต่อปี
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลี สิ้นสุด ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2551 สามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2.74% ขณะที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2.31% และผลตอบแทนจากดัชนีกองทุนตราสารหนี้ย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 20.51% ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.74% ขณะที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.33% และผลตอบแทนจากดัชนีกองทุนตราสารหนี้ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 13.60% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.70% ขณะที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.35% และผลตอบแทนจากดัชนีกองทุนตราสารหนี้ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 6.98% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 3.06% ขณะที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 2.58% และผลตอบแทนจากดัชนีกองทุนตราสารหนี้ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 5.25%
นายวนา กล่าวว่า บริษัทยังไม่มีแผนในการออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์) เนื่องจากยังไม่มีทรัพย์สินที่น่าสนใจลงทุน แต่หากจะออกกองทุนประเภทดังกล่าวจะเน้นการลงทุนแบบซื้อกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ (ฟรีโฮลด์) มากกว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนในสิทธิการเช่า (ลิสต์โฮลด์)
ส่วนการที่กองทุนเปิดกำไรเพิ่มพูนได้รับรางวัลกองทุนตราสารทุนที่ดีที่สุดในระยะเวลา 10 ปีจาก "The Post-Lipper Thailand Fund Awards 2008" ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นการลงทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ความสม่ำเสมอของการลงทุน และธุรกิจมีการทำกำไรได้ดี รักษากำไรได้นาน มีผู้บริหารที่มีความน่าเชื่อถือ และมีวิสัยทัศน์ที่ดี รวมทั้งการเป็นบรรษัทภิบาลที่ดีด้วย โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยไม่อิงกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดมาก และลงทุนในหุ้นที่มีเงินปันผลสูงและมีขนาดอันดับต้นของอุตสาหกรรม ซึ่งมีความได้เปรียบในเรื่องของขนาด และต้นทุน และความสามารถในการต่อรองราคา ไม่มีหนื้สินมากเกินไป ส่วนในแง่ที่เป็นหุ้นที่มีกระแสเงินไหลเวียนสูงนั้นเป็นเรื่องรองลงมา
ทั้งนี้ จากการสำรวจพอร์ตการลงทุน ส่วนใหญ่อยู่ในหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก โดยพอร์ตการลงทุนในหลักทรัพย์ 10 อันดับแรกที่กองทุนลงทุน ณ เดือนพฤศจิกายน 2550 ประกอบด้วย 1.หุ้นสามัญ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 19.33% 2.บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) 9.93% 3.ธนาคารกสิกรไทย 9.16% 4. บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) 7.71% 5.ธนาคารไทยพาณิชย์ 6.71% 6.ธนาคารกรุงเทพ 5.25% 7.บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) 4.42% บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) 2.93% บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) 2.85% บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) 2.68%
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดกำไรเพิ่มพูน สิ้นสุด ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2551 สามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -2.48% เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ -3.67% ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -0.71% เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ -2.64% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 16.12% เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 9.00% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 30.19% เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 20.15% ขณะที่ย้อนหลัง 3 ปีให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 33.14% เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 12.09%