หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปล่อยมาตรการกันสำรอง 30% มาสร้างความหนักอกหนักใจและฝันร้ายให้กับนักลงทุนได้ประมาณปีกว่าๆ ก็ได้ฤกษ์ปลดล็อกมาตรการดังกล่าวซะทีในวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยจากนี้ไปเชื่อว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์คงจะมีความคึกคักเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
กอปรกับนโยบายรัฐบาลในการลงทุนตามแผนพัฒนาประเทศมูลค่า 1.59 ล้านล้านบาท ในระยะ 5 ปี ข้างหน้า เช่น การก่อสร้างรถไฟฟ้า พลังงาน และการท่องเที่ยว ตลอดจนมาตรการด้านภาษีเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย เป็นต้น จะช่วยเพิ่มความสามารถในการการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนขึ้นด้วย
โดยหลายฝ่ายมองว่าตลาดหลักทรัพย์จะได้รับผลดีจากการเติบโตของเศรษฐกิจ และแนวโน้มการลดลงของอัตราดอกเบี้ย โดยจากการประเมินมูลค่าหุ้นและผลตอบแทนจากการลงทุน มูลค่าหุ้นไทยยังต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน และมีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนอยู่ในระดับสูงประมาณ 26-27%
"Best of Fund" สัปดาห์นี้ขอพานักลงทุนมาเกาะติดผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้น 10 อันดับแรก ที่สามารถให้ผลตอบแทนสูงสุด จากการรายงานโดย LIPPER ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 ว่ามีกองทุนใดน่าสนใจบ้าง เพื่อเป็นแนวทางเบื้องต้นในการลงทุนต่อไป พร้อมกับเปิดมุมมองและนโยบายในการเลือกลงทุนของผู้บริหารกองทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนมาเป็นอันดับ 1 ด้วย
โดยกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดมาเป็นอันดับ 1 คือกองทุนเปิดทิสโก้หุ้นทุนปันผล ภายใต้การบริหารของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด โดยให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (Year to Date) อยู่ที่ 4.57% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 6.01%
อันดับ 2 กองทุนเปิดบัวหลวงธนคม บริหารโดย บลจ.บัวหลวง ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2.42% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 3.86% อันดับ 3 กองทุนเปิดอยุธยารักษ์ก้าวหน้า บริหารโดย บลจ.อยุธยา ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2.41% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 3.85%
อันดับ 4 กองทุนเปิดทิสโก้ทวีทุน บริหารโดย บลจ.ทิสโก้ ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 1.25% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 2.69% อันดับ 5 กองทุนเปิดทีซีเอ็มหุ้นทุน บริหารโดย บลจ.ทิสโก้ ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 1.09% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 2.53%
อันดับ 6 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์เพิ่มผลมั่นคง บริหารโดย บลจ.ไทยพาณิชย์ ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 0.52% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 1.96% อันดับ 7 กองทุนเปิดกรุงไทยแจนยัวรี่เอ็ฟเฟค 1 บริหารโดย บลจ.กรุงไทย ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 0.40% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 1.84%
อันดับ 8 กองทุนเปิดธีรทรัพย์ บริหารโดย บลจ.เอ็มเอฟซี ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 0.18% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 1.62% อันดับ 9 กองทุนเปิดบัวหลวงทศพล บริหารโดย บลจ.บัวหลวง ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 0.15% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 1.59%
และอันดับ 10 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์มั่นคง 4 ภายใต้การบริหารของ บลจ.ไทยพาณิชย์ ให้ผลตอบแทน ย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 0.13% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 1.57%
เปิดกลยุทธ์กองทุนอันดับ 1
ธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เล่าให้ฟังว่า กองทุนเปิดทิสโก้หุ้นทุนปันผลจะเน้นลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มพลังงานเป็นหลัก โดยที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีผลการดำเนินงานที่ดี ทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิปรับตัวได้ดี
ทั้งนี้ ในระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีการปรับตัวขึ้นไปประมาณ 12-30% ซึ่งราคาหุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ปรับขึ้นโดยเฉลี่ย 15-16% ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยถือเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ถูกที่สุดในโลกด้วย ขณะที่ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานได้ปรับขึ้นไปประมาณ 15-17%
นอกจากนี้ กองทุนจะมีการคัดเลือกหุ้นที่ดีของกลุ่มอุตสาหกรรม และให้น้ำหนักลงทุนมากกว่าตลาด โดยมองว่าหุ้นไทยยังมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิที่ค่อนข้างต่ำ และมีพีอีเรโชเพียง 11 เท่า ขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีพีอีเรโชอยู่ที่ 14-15 เท่า
ส่วนการปรับพอร์ตลงทุนนั้น กองทุนยังไม่มีนโยบายในการปรับพอร์ตลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากพีอีเรโชต่ำ และมูลค่าหุ้นยังสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีก และคาดว่าภาวะเศรษฐกิจในปีนี้จะมีการฟื้นตัวได้ดี หลังจากภาครัฐมีมาตรการต่างๆ ออกมา ซึ่งจะส่งผลดีตลาดหุ้นด้วย หากเป็นมาตรการที่ยั่งยืนก็จะช่วยได้มากพอสมควร อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ในระหว่างทางราคาหุ้นอาจจะมีความผันผวนจากปัจจัยภาวะตลาดโลก
"ธีรนาถ" บอกว่า กองทุนนี้เป็นตัวแทนของลูกค้าที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ต้องคัดเลือกหุ้นเอง โดยสามารถลงทุนในหุ้นได้ถึง 20 ตัว ซึ่งดีกว่าการที่นักลงทุนเลือกลงทุนเอง และไม่ได้กระจายความเสี่ยง หรือหากนักลงทุนกระจายมากเกินไป ก็จะไม่เกิดผลดีเช่นกัน แต่การให้ผู้จัดการกองทุนเลือกลงทุนหุ้นให้จะส่งผลดีกว่า โดยให้ผู้จัดการกองทุนติดตามสถานการณ์ของหุ้นแทน แทนที่นักลงทุนจะมาวิจัยด้วยตนเอง ซึ่งง่ายกว่า และมีการจ่ายปันผลอีกด้วย
กอปรกับนโยบายรัฐบาลในการลงทุนตามแผนพัฒนาประเทศมูลค่า 1.59 ล้านล้านบาท ในระยะ 5 ปี ข้างหน้า เช่น การก่อสร้างรถไฟฟ้า พลังงาน และการท่องเที่ยว ตลอดจนมาตรการด้านภาษีเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย เป็นต้น จะช่วยเพิ่มความสามารถในการการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนขึ้นด้วย
โดยหลายฝ่ายมองว่าตลาดหลักทรัพย์จะได้รับผลดีจากการเติบโตของเศรษฐกิจ และแนวโน้มการลดลงของอัตราดอกเบี้ย โดยจากการประเมินมูลค่าหุ้นและผลตอบแทนจากการลงทุน มูลค่าหุ้นไทยยังต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน และมีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนอยู่ในระดับสูงประมาณ 26-27%
"Best of Fund" สัปดาห์นี้ขอพานักลงทุนมาเกาะติดผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้น 10 อันดับแรก ที่สามารถให้ผลตอบแทนสูงสุด จากการรายงานโดย LIPPER ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 ว่ามีกองทุนใดน่าสนใจบ้าง เพื่อเป็นแนวทางเบื้องต้นในการลงทุนต่อไป พร้อมกับเปิดมุมมองและนโยบายในการเลือกลงทุนของผู้บริหารกองทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนมาเป็นอันดับ 1 ด้วย
โดยกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดมาเป็นอันดับ 1 คือกองทุนเปิดทิสโก้หุ้นทุนปันผล ภายใต้การบริหารของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด โดยให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (Year to Date) อยู่ที่ 4.57% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 6.01%
อันดับ 2 กองทุนเปิดบัวหลวงธนคม บริหารโดย บลจ.บัวหลวง ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2.42% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 3.86% อันดับ 3 กองทุนเปิดอยุธยารักษ์ก้าวหน้า บริหารโดย บลจ.อยุธยา ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2.41% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 3.85%
อันดับ 4 กองทุนเปิดทิสโก้ทวีทุน บริหารโดย บลจ.ทิสโก้ ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 1.25% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 2.69% อันดับ 5 กองทุนเปิดทีซีเอ็มหุ้นทุน บริหารโดย บลจ.ทิสโก้ ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 1.09% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 2.53%
อันดับ 6 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์เพิ่มผลมั่นคง บริหารโดย บลจ.ไทยพาณิชย์ ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 0.52% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 1.96% อันดับ 7 กองทุนเปิดกรุงไทยแจนยัวรี่เอ็ฟเฟค 1 บริหารโดย บลจ.กรุงไทย ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 0.40% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 1.84%
อันดับ 8 กองทุนเปิดธีรทรัพย์ บริหารโดย บลจ.เอ็มเอฟซี ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 0.18% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 1.62% อันดับ 9 กองทุนเปิดบัวหลวงทศพล บริหารโดย บลจ.บัวหลวง ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 0.15% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 1.59%
และอันดับ 10 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์มั่นคง 4 ภายใต้การบริหารของ บลจ.ไทยพาณิชย์ ให้ผลตอบแทน ย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 0.13% และสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 1.57%
เปิดกลยุทธ์กองทุนอันดับ 1
ธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เล่าให้ฟังว่า กองทุนเปิดทิสโก้หุ้นทุนปันผลจะเน้นลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มพลังงานเป็นหลัก โดยที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีผลการดำเนินงานที่ดี ทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิปรับตัวได้ดี
ทั้งนี้ ในระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีการปรับตัวขึ้นไปประมาณ 12-30% ซึ่งราคาหุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ปรับขึ้นโดยเฉลี่ย 15-16% ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยถือเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ถูกที่สุดในโลกด้วย ขณะที่ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานได้ปรับขึ้นไปประมาณ 15-17%
นอกจากนี้ กองทุนจะมีการคัดเลือกหุ้นที่ดีของกลุ่มอุตสาหกรรม และให้น้ำหนักลงทุนมากกว่าตลาด โดยมองว่าหุ้นไทยยังมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิที่ค่อนข้างต่ำ และมีพีอีเรโชเพียง 11 เท่า ขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีพีอีเรโชอยู่ที่ 14-15 เท่า
ส่วนการปรับพอร์ตลงทุนนั้น กองทุนยังไม่มีนโยบายในการปรับพอร์ตลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากพีอีเรโชต่ำ และมูลค่าหุ้นยังสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีก และคาดว่าภาวะเศรษฐกิจในปีนี้จะมีการฟื้นตัวได้ดี หลังจากภาครัฐมีมาตรการต่างๆ ออกมา ซึ่งจะส่งผลดีตลาดหุ้นด้วย หากเป็นมาตรการที่ยั่งยืนก็จะช่วยได้มากพอสมควร อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ในระหว่างทางราคาหุ้นอาจจะมีความผันผวนจากปัจจัยภาวะตลาดโลก
"ธีรนาถ" บอกว่า กองทุนนี้เป็นตัวแทนของลูกค้าที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ต้องคัดเลือกหุ้นเอง โดยสามารถลงทุนในหุ้นได้ถึง 20 ตัว ซึ่งดีกว่าการที่นักลงทุนเลือกลงทุนเอง และไม่ได้กระจายความเสี่ยง หรือหากนักลงทุนกระจายมากเกินไป ก็จะไม่เกิดผลดีเช่นกัน แต่การให้ผู้จัดการกองทุนเลือกลงทุนหุ้นให้จะส่งผลดีกว่า โดยให้ผู้จัดการกองทุนติดตามสถานการณ์ของหุ้นแทน แทนที่นักลงทุนจะมาวิจัยด้วยตนเอง ซึ่งง่ายกว่า และมีการจ่ายปันผลอีกด้วย