กองทุน JF Asset Management (Singapore) Limited ขายหุ้นสามัญบมจ.โทรีเซน ไทย เอเยนต์ชีส์ (TTA) ทิ้ง 1.07 ล้านหุ้น ทำยอดถือครองร่วงหลือเพียง 4.89% ด้านโบรกเกอร์ แนะนำ "ถือ" กำหนดราคาเหมาะสมที่ 48.50 บาท
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2551 กองทุน JF Asset Management (Singapore) Limited ได้นำส่งแบบรายงานการได้มาและจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2) โดยกองทุนได้ทำการจำหน่ายหุ้นสามัญ ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ของบริษัทโทรีเซน ไทย เอเยนต์ชีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซี แอล เอส เอ (สิงคโปร์) จำกัด จำนวน 1,074,600 หุ้น คิดเป็น 0.17% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
โดยหลังจากการจำหน่ายหลักทรัพย์ กองทุน JF Asset Management (Singapore) Limited จะคงเหลือหุ้นสามัญ ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ของบมจ.โทรีเซน ไทย เอเยนต์ชีส์ จำนวน 31,493,900 หุ้น คิดเป็น 4.89% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด จากเดิมที่ถือหุ้นสามัญ จำนวน 32,568,500 หุ้น ซึ่งคิดเป็น 5.06% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
โดยวานนี้ (5 มี.ค.51) ราคาหุ้นของบมจ.โทรีเซน ไทย เอเยนต์ชีส์ ปิดที่ 47.25 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ 2.07% มูลค่าการซื้อขาย 373.143 ล้านบาท
ส่วนรายชื่อผู้ถือหุ้น 5 อันดับแรก ของบมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ชีส์ ณ วันที่ 10 มกราคม 2551 ปรากฏรายชื่อดังต่อไปนี้ อันดับ 1 บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้น จำนวน 138,040,852 หุ้น คิดเป็น 21.45 % , อันดับ 2 GOLDMAN SACHS INTERNATIONAL ถือหุ้นจำนวน 36,118,700 หุ้น คิดเป็น 5.61% , อันดับ 3 THE BANK OF NEW YORK (NOMINEES) LIMITED ถือหุ้นจำนวน 33,018,699 หุ้น คิดเป็น 5.13 % , อันดับ 4 STATE STREET BANK AND TRUST COMPANY ถือหุ้นจำนวน 23,310,084 หุ้น คิดเป็น 3.62 % และอันดับ 5 HSBC (SINGAPORE) NOMINEES PTE LTD ถือหุ้นจำนวน 20,005,800 หุ้นคิดเป็น 3.11%
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2551 กองทุน JF Asset Management (Singapore) Limited เพิ่งจะมีการซื้อหุ้นสามัญที่เป็นหลักทรัพย์ของบมจ.บริษัทโทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำนวน 2,586,800 หุ้น คิดเป็น 0.40% ในราคาหุ้นละ 67.76 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 175,281,568 บาท
บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด ระบุว่า บริษัทแนะนำ "ถือ" หุ้นของบมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) และกำหนดราคาเป้าหมายที่ 48.50 บาท เนื่องมาจากคาดการณ์ว่าผลประกอบการจะอยู่ในระดับดี แต่ปีหน้าจะเริ่มชะลอตัว
ขณะเดียวกันประเมินว่าดัชนีค่าระวางเรือสากล (BDI) ในระยะสั้นมีแนวโน้มที่ยังดี ตามการขนส่งแร่เหล็กจะกลับมาเพิ่มขึ้นหลังการเจรจาราราคาแร่เหล็กเป็นผลสำเร็จ และความต้องการถ่านหินที่เพิ่มขึ้นในจีน แต่คาดการณ์ว่าแนวโน้มในครึ่งหลังปีนี้ ดัชนี BDI จะปรับลงต่อจากปริมาณเรือใหม่ที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมมากขึ้น และมีแนวโน้มที่ค่าระวางเรือสากลจะลดลงอย่างต่อเนื่องในปีต่อๆไป
อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่าผลประกอบการในไตรมาส 1 บมจ.โทรีเซน ไทย เอเยนต์ชีส์ น่าจะมีผลกำไรสุทธิกว่า 2,600 ล้านบาท แต่คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสต่อๆ ไป จะเริ่มชะลอตัวลงแล้วตามดัชนีค่าระวางเรือที่จะลดลงและมีแนวโน้มลดลงมากขึ้นในปี 2552 -2553 และประเมินว่าในปี 2551 บริษัทน่าจะกำไรสุทธิประมาณ 6,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อน แต่ในปี 2552 กำไรสุทธิอาจจะปรับตัวลดลง 24%
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2551 กองทุน JF Asset Management (Singapore) Limited ได้นำส่งแบบรายงานการได้มาและจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2) โดยกองทุนได้ทำการจำหน่ายหุ้นสามัญ ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ของบริษัทโทรีเซน ไทย เอเยนต์ชีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซี แอล เอส เอ (สิงคโปร์) จำกัด จำนวน 1,074,600 หุ้น คิดเป็น 0.17% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
โดยหลังจากการจำหน่ายหลักทรัพย์ กองทุน JF Asset Management (Singapore) Limited จะคงเหลือหุ้นสามัญ ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ของบมจ.โทรีเซน ไทย เอเยนต์ชีส์ จำนวน 31,493,900 หุ้น คิดเป็น 4.89% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด จากเดิมที่ถือหุ้นสามัญ จำนวน 32,568,500 หุ้น ซึ่งคิดเป็น 5.06% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
โดยวานนี้ (5 มี.ค.51) ราคาหุ้นของบมจ.โทรีเซน ไทย เอเยนต์ชีส์ ปิดที่ 47.25 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ 2.07% มูลค่าการซื้อขาย 373.143 ล้านบาท
ส่วนรายชื่อผู้ถือหุ้น 5 อันดับแรก ของบมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ชีส์ ณ วันที่ 10 มกราคม 2551 ปรากฏรายชื่อดังต่อไปนี้ อันดับ 1 บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้น จำนวน 138,040,852 หุ้น คิดเป็น 21.45 % , อันดับ 2 GOLDMAN SACHS INTERNATIONAL ถือหุ้นจำนวน 36,118,700 หุ้น คิดเป็น 5.61% , อันดับ 3 THE BANK OF NEW YORK (NOMINEES) LIMITED ถือหุ้นจำนวน 33,018,699 หุ้น คิดเป็น 5.13 % , อันดับ 4 STATE STREET BANK AND TRUST COMPANY ถือหุ้นจำนวน 23,310,084 หุ้น คิดเป็น 3.62 % และอันดับ 5 HSBC (SINGAPORE) NOMINEES PTE LTD ถือหุ้นจำนวน 20,005,800 หุ้นคิดเป็น 3.11%
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2551 กองทุน JF Asset Management (Singapore) Limited เพิ่งจะมีการซื้อหุ้นสามัญที่เป็นหลักทรัพย์ของบมจ.บริษัทโทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำนวน 2,586,800 หุ้น คิดเป็น 0.40% ในราคาหุ้นละ 67.76 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 175,281,568 บาท
บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด ระบุว่า บริษัทแนะนำ "ถือ" หุ้นของบมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) และกำหนดราคาเป้าหมายที่ 48.50 บาท เนื่องมาจากคาดการณ์ว่าผลประกอบการจะอยู่ในระดับดี แต่ปีหน้าจะเริ่มชะลอตัว
ขณะเดียวกันประเมินว่าดัชนีค่าระวางเรือสากล (BDI) ในระยะสั้นมีแนวโน้มที่ยังดี ตามการขนส่งแร่เหล็กจะกลับมาเพิ่มขึ้นหลังการเจรจาราราคาแร่เหล็กเป็นผลสำเร็จ และความต้องการถ่านหินที่เพิ่มขึ้นในจีน แต่คาดการณ์ว่าแนวโน้มในครึ่งหลังปีนี้ ดัชนี BDI จะปรับลงต่อจากปริมาณเรือใหม่ที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมมากขึ้น และมีแนวโน้มที่ค่าระวางเรือสากลจะลดลงอย่างต่อเนื่องในปีต่อๆไป
อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่าผลประกอบการในไตรมาส 1 บมจ.โทรีเซน ไทย เอเยนต์ชีส์ น่าจะมีผลกำไรสุทธิกว่า 2,600 ล้านบาท แต่คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสต่อๆ ไป จะเริ่มชะลอตัวลงแล้วตามดัชนีค่าระวางเรือที่จะลดลงและมีแนวโน้มลดลงมากขึ้นในปี 2552 -2553 และประเมินว่าในปี 2551 บริษัทน่าจะกำไรสุทธิประมาณ 6,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อน แต่ในปี 2552 กำไรสุทธิอาจจะปรับตัวลดลง 24%