xs
xsm
sm
md
lg

กองทุนเจเอฟฯทุ่ม 175 ล้านบาทเก็บหุ้น TTA

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - กองทุนสิงคโปร์ " JF Asset Management (Singapore) Limited" ทุ่ม 175.28 ล้านบาท เข้าเก็บหุ้นบมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ เพิ่มอีก 2.5 ล้านหุ้น ดันยอดถือครองแตะ5.06% จากเดิมที่ถือเพียง 4.66% ขณะที่บล.นครหลวงไทยแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเหมาะสม 70.51 บาท หลังประเมินอนาคต TTA ปีนี้สดใส

รายงานข่าวจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2551 JF Asset Management (Singapore) Limited ได้ส่งแบบรายงานการได้มาและจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2) มายังสำนักงาน โดย JF Asset Management (Singapore) Limited ได้มาซึ่งหุ้นสามัญที่เป็นหลักทรัพย์ของบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่าน Merrill Lynch Pierce F & S HK Inc. จำนวน 2,586,800 หุ้น คิดเป็น 0.40% ในราคาหุ้นละ 67.76 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 175,281,568 บาท

ทั้งนี้หลังจากการได้มาซึ่งหลักทรัพย์ JF Asset Management (Singapore) Limited จะถือหุ้นใน บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำนวน 32,568,500 หุ้น คิดเป็น 5.06% จากเดิมที่ถือครองหุ้นจำนวน 29,981,700 หุ้น คิดเป็น 4.66%

สำหรับรายชื่อผู้ถือหุ้นของบมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2551 ปรากฎรายชื่อ 5 อันดับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ดังต่อไปนี้ อันดับ 1 บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้นจำนวน 138,040,852 หุ้น คิดเป็น 21.45% , อันดับ 2 GOLDMAN SACHS INTERNATIONAL ถือหุ้นจำนวน 36,118,700 หุ้น คิดเป็น 5.61% , อันดับ 3 THE BANK OF NEW YORK (NOMINEES) LIMITED ถือหุ้นจำนวน 33,018,699 หุ้น คิดเป็น 5.13 % , อันดับ 4 STATE STREET BANK AND TRUST COMPANY ถือหุ้นจำนวน 23,310,084 หุ้น คิดเป็น 3.62 % และอันดับ 5 HSBC (SINGAPORE) NOMINEES PTE LTD ถือหุ้นจำนวน 20,005,800 หุ้น คิดเป็น 3.11 %

ด้านราคาหลักทรัพย์ของบมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ วานนี้ (24 ม.ค.50) ปิดที่ 34.00 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ 4.23% มูลค่าการซื้อขาย 304.90 ล้านบาท

บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย จำกัด ระบุว่า บริษัทให้คำแนะนำ "ซื้อ" หุ้นของบมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ หรือ TTA โดยกำหนดราคาเหมาะสมที่ 70.51บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการประเมินว่าปีนี้ผลการดำเนินการของ TTA น่าจะดีที่สุดในรอบวัฏจักร ตามค่าระวางเฉลี่ยของกองเรือที่อาจสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 15% ทำให้การที่ TTA ได้ทำสัญญาล่วงหน้าไปแล้วกว่า 22% ของกองเรือทั้งหมด จึงเป็นการการันตีค่าระวางเรือระดับสูงในปี 2551

ขณะเดียวกันในปี 2551 การที่เรือขุดเจาะของบริษัท เมอร์เมด มาริไทร์ จำกัด (มหาชน) หรือ MML ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ TTA จำนวน 2 ลำ จะสามารถเริ่มดำเนินการได้อีกครั้งหลังจากที่หยุดซ่อมแซม น่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลดีต่อ TTA เช่นเดียวกัน โดยบริษัทคาดว่าในปีนี้ บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จะมีกำไรสุทธิจำนวน 6,147 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 23.7% จากปีก่อน

บทวิเคราะห์ ระบุต่อว่า ด้านปัญหาการอ่อนตัวลงของดัชนีค่าระวางเรือเทกอง (Baltic Dry Index : BDI) คาดว่าน่าจะสิ้นสุดลงแล้ว โดยในสัปดาห์แรกของปี 2551 ราคาว่าจ้างเรือต่อเทกองลำใหม่ ทั้งเรือขนาด Cape size และ Panamax ปรับตัวสูงขึ้นลำละ 1 ล้านเหรียญ ซึ่งประเมินว่าหลังจากนี้ดัชนี BDI มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นตามกิจกรรมการขนส่ง ถ่านหิน และ สินแร่เหล็ก ที่กลับมาในระดับปกติอีกครั้ง

ส่วนผลกระทบจากการขึ้นภาษีส่งออกเหล็กของประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก บริษัทคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในเรือเทกองจากสินแร่เหล็กมากนัก เนื่องจากจีนส่งออกเหล็กเพียง 14% ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังคงแข็งแกร่ง รวมไปถึงการบริโภคถ่านหินซึ่งเป็นพลังงานหลักของประเทศยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้อุปสงค์รวมในเรือเทกองจะยังอยู่ในระดับดีต่อเนื่อง
กำลังโหลดความคิดเห็น