xs
xsm
sm
md
lg

อุตฯก่อสร้าง-ยานยนต์หนุนศก.หุ้นไทยปีนี้มีโอกาสถึง1,000จุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้บริหารแบงก์กสิกรฯ ชี้เศรษฐกิจโกลปีนี้ชะลอตัว เหตุเศรษฐกิจสหรัฐเกิดภาวะถดถอย ขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและอินเดียไม่สามารถชดเชยการชะลอตัวของสหรัฐได้ เนื่องจากมีเพียง 1 ใน 3 ของขนาดเศรษฐกิจสหรัฐเท่านั้น พร้อมมองการก่อสร้างภาครัฐ อุตสาหกรรมยานยนต์ สินค้าเกษตร มาแรง ขณะที่เสื้อผ้าสำเร็จรูป ของเด็กเล่น อ้อย น้ำตาล และธุรกิจปั๊มน้ำมันจะซบเซา ประเมินปี51 เศรษฐกิจไทยขยายตัวแค่ 4.1% พึ่งพิงการลงทุนภายในประเทศ ขณะที่บล.ทิสโก้ ประเมินหุ้นไทยปีนี้ถึง 1,000 จุด


นายประสารไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในงานเสวนาทิศทางตลาดเงิน และอุตสาหกรรมพลังงานของไทยในปี 2551 ซึ่งจัดโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด ว่า สภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวมในปี 2551 จะมีอัตราการเจริญเติบโตชะลอตัว จากปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐฯ (ซับไพรม์) ที่ขยายตัวไปสู่ภูมิภาคต่างๆ แม้ว่าจะมีเศรษฐกิจของประเทศที่เกิดใหม่อย่างจีน อินเดียเข้ามาทดแทน แต่มีสัดส่วนเพียง 1 ใน 3 ของขนาดเศรษฐกิของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น และไม่สามารถชดเชยการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาได้ ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2551 จะชะลอตัวลงเหลือเพียง 4.1% จาก 4.9% ในปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะมีการชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในครึ่งปีแรก โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประเมินว่าเศรษกิจสหรัฐจะมีอัตราการขยยายตัวทางเศรษฐกิจอยุ่ที่ 1.5% และภาคอสังหาริมทรัพย์มีการรชะลอตัวอย่างชัดเจน แต่ยังไม่ถึงจุดที่ต่ำสุด อย่างไรก็ตามจะต้องจับตากันต่อไปว่าเฟดจะมีมาตรการปรับลดอัตรดอกเบี้ยเหลือเพียง 2% หรือต่ำกว่านั้นหรือไม่ ส่วนในวันที่ 15 มีนาคม 2551 คาดว่าเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.5% - 0.75% ขึ้นไป

นอกจากนี้ การที่รัฐบาลสหรัฐมีการออกมาตรการคืนภาษีเพี่อมากระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ กลับพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับประโยชน์จากการปรับลดภาษีในครั้งนี้ เนื่องจาก 1.การถดถอยของเศรษฐกิจ 2.ราคาน้ำมันแพงขึ้น และ 3. ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

นายประสาร กล่าวว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2550 อยู่ที่ระดับ 4.8-4.9% เนื่องจากภาคการส่งออกชะลอตัวลงตามเศรษฐกิจโลก สินค้าอุปโภคและบริโภคในประเทศ และมีปัจจัยเสี่ยงอย่าง การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันแพง อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน และการเมือง สำหรับในปีนี้อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีแนวโน้มในการขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมการก่อสร้างภาครัฐ รถยนต์และรถจักรยานยนต์ ที่มีการสนันสนุนให้มีการใช้น้ำมัน อี 20 มากขึ้น ขณะที่ราคาสินค้าเกษตร ที่มีการพักชำระหนี้ให้เกษตรกร ส่วนอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขยายตัวไม่ดี คือ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ของเด็กเล่น อ้อย น้ำตาล และธุรกิจปั๊มน้ำมัน

ขณะที่อัตราการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยจะอยู่ในระดับที่ทรงตัว เพราะมีปัจจัยบวกและปัจจัยลบมากระทบ ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยต่ำ ที่ทำให้อำนาจซื้อของผู้บริโภคมีมากขึ้น รวมทั้งการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ทำให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนมีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวน

สำหรับ อัตราเงินเฟ้อประจำเดือนกุมภาพันธ์ประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 5.4% โดยหากราคาน้ำมันไม่ขยับขึ้น อัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มลดลงเหลือเพียง 3% ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ย ทางภาครัฐจะมีการออกกู้เงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อมาชดเชยเงินงบประมาณ ทำให้มีการโยกย้ายเงินจากตลาดหุ้นมาที่พันธบัตรมากขึ้น โดยคาดว่าปีนี้จะมีการออกพันธบัตรประมาณ 1-2 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามจะต้องระมัดระวังอุปทานด้วย

นายประสาร กล่าวถึง ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าขึ้นว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออก เนื่องจาก 2 เดือนแรกค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าเงินทุกสกุล ยกเว้นเงินเยน แต่ผู้ส่งออกส่วนใหญ่จะมีการทำประกันความเสี่ยงไว้ล่วงหน้าแล้วจึงคาดว่าภาคการส่งออกปีนี้จะมีการขยายตัวประมาณ 10-12% ส่วนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจะต้องพึ่งพาการใช้จ่ายภายในประเทศ และการลงทุนในประเทศแทน

นอกจากนี้ ด้านธนาคารพาณิชย์จะมีการขยายสินเชื่อมากขึ้นโดยคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่การปล่อยสินเชื่อจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์หลายแห่งมีการตั้งเป้าหมายสินเชื่อไว้ในระดับที่สูง ทำให้การแข่งขันมีความรุนแรงขึ้น ดังนั้นในปีนี้จะมีการออกรูปเงินฝากแบบใหม่ขึ้นมาเพื่อกระตุ้นการออมของประชาชนมากขึ้น

นายไพบูลย์ นรินทรางกูร กรรมการบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นในประเทศไทยมีผลการดำเนินงานดีที่สุด ซึ่งไม่นับประเทศภูมิภาคละตินอเมริกา เพราะโดยเฉลี่ยทั่วโลกจะเติบโต 8% ญี่ปุ่นโต 15% สหรัฐอเมริกาโต 9% ประเทศในภูมิภาคเอเชียโต 9% ประเทศตลาดเกิดใหม่ (อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต)โต 6% จีนและอินเดียโต 15% โดยสัดส่วนของนักลงทุนต่างชาติที่อยู่ในตลาดหุ้นไทยมีประมาณ 30% แต่กลับมีอิทธิพลมากกว่านักลงทุนภายในประเทศที่มี 60% นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติเริ่มมองภาพประเทศไทยเป็นบวกแล้ว ดังนั้นคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะมีผลผลการดำเนินงานดีกว่าตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย

"ปีนี้เรายังมีมุมมองว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะอยู่ในวิสัยที่จะขึ้นไปอยู่ที่ 1,000 จุดได้ แต่ขึ้นอยู่กับการเมืองด้วยว่าจะนิ่งหรือไม่" กรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยเสี่ยง ที่ยังต้องติดตาม คือเรื่องผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐ ว่าจะอยู่ในระดับมากน้อยแค่ไหน แต่โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจของไทยจะมีโอกาสเติบโต ซึ่งจะสวนทางกับเศรษฐกิจของสหรัฐได้ เมื่อพิจารณาจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาส 4/50 ที่ดีอยู่ และหากยังสามารถรักษาอัตราการเติบทางเศรษฐกิจในไตรมาส 1/51 ให้ดีอยู่ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น