xs
xsm
sm
md
lg

คาดตปท.มองไทยบวกหลังเลิก30% INGหวังเข็นพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์4กอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"มาริษ" ประเมินมุมมองต่างชาติต่อไทยเป็นบวกหลังทุบ 30% ทิ้ง คาดพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ขนาด 6,000-7,000 ล้านบาทได้รับความสนใจจากต่างชาติ เหตุให้ผลตอบแทนสูง เตรียมเข็นกองอสังหาฯ เข้าตลาดต่อเนื่องอีก 4 กองทุน มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท แนะตลท.แยกเทรดหุ้นกลุ่มกองทุนอสังหาริมทรัพย์เฉพาะ

นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด และนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน กล่าวว่า การที่ภาครัฐได้ประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% น่าจะส่งผลดีต่อมุมมองของต่างชาติต่อภาพใหญ่ของประเทศไทย เนื่องมาจากเป็นการแสดงถึงการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ แต่ผลในอนาคตที่จะเกิดขึ้นคงจะต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของภาครัฐ

สำหรับในส่วนของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์) นั้น กองทุนที่น่าจะได้รับประโยชน์จากการยกเลิกมาตรการดังกล่าว ก็คือ กองทุนที่มีขนาดกองทุนมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขนาดประมาณ 6,000 -7,000 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งน่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มมากขึ้น เพราะการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ประเทศไทยนั้นสามารถให้ผลตอบแทนในระดับสูง ในขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากของประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงที่ผ่านมากลับปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง

นายมาริษ กล่าวต่อว่า ในปีนี้บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) มีแผนที่จะออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4 กองทุน มูลค่ารวมกันประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยหนึ่งในกองทุนที่บลจ.มีแผนที่จะออกขายในปีนี้นั้นจะเป็นกองทุนขนาดใหญ่ ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์เมนตร์ มูลค่าโครงการประมาณ 13,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดระดมทุนได้ในช่วงไตรมาส 2 และจากการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ทำให้มีความมั่นใจว่าการเปิดระดมทุนกองทุนดังกล่าวจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน

"การที่ยกเลิก 30% ไป ทำให้มีความมั่นใจและเบาใจว่า กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ขนาด 13,000 ล้านบาทที่จะออกในช่วงไตรมาส 2 นี้ จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน ส่วนเรื่องหุ้นก็ไม่ได้มีการปรับประมาณการณ์ดัชนีเพิ่ม เพราะหุ้นไม่ได้เกี่ยวกับ 30% อยู่แล้ว" นายมาริษ กล่าว

นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนงานที่จะออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ขนาด 30,000 ล้านบาท อีก 1 กองทุน ซึ่งถ้าสามารถดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ คาดว่าจะมาสามารถระดมทุนได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม ในขณะเดียวกันบริษัทก็ยังมีการพิจารณาตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนในโรงพยาบาล โรงไฟฟ้าพลังงานแกลบ รวมไปถึงทรัพย์สินอื่นๆที่น่าจะสามารถให้ผลตอบแทนในระดับที่เหมาะสมได้อีกด้วย

ด้านกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ควอลิตี้ ฮอสพิทอลลิตี้ (QHOP) ซึ่งลงทุนในสิทธิการเช่าที่ดินและอาคารของโรงแรมอมารี บูเลอวาร์ด และได้เปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ในระหว่างวันที่ 3 - 11 มีนาคม 2551 นั้น คาดว่าน่าจะสามารถระดมทุนได้เต็มมูลค่าและน่าจะนำไปเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงประมาณสิ้นเดือนมีนาคมนี้

อย่างไรก็ตามแม้ว่าการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% จะส่งผลทำให้นักลงทุนต่างชาติสนใจการลงทุนในประเทศไทย และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มมากขึ้น แต่สำหรับบลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) นั้น ขณะนี้ยังไม่มีการปรับเป้าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการ (เอยูเอ็ม) ในปีนี้ โดยยังคงตั้งเป้าหมายเอยูเอ็มปี 2551 ที่ 204,000 ล้านบาท

แนะตลท.แยกเทรดกลุ่มเฉพาะ
นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า ส่วนตัวประมาณการณ์ว่าในปี 2551 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (เอ็นเอวี) ของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ทั้งระบบน่าจะเพิ่มขึ้นถึงระดับ 100,000 ล้านบาท จากปลายปี 2550 ที่กองทุนจะมีเอ็นเอวีประมาณ 56,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นการลงทุนที่มีขนาดใหญ่มาก ดังนั้นภาครัฐและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ควรให้ความสำคัญต่อการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น และควรจะมีการแยกการซื้อขายหุ้นในส่วนของกลุ่มกองทุนอสังหาริมทรัพย์ออกมาจากหมวดการซื้อขายหลักทรัพย์ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปกติ

"การรวมกองทุนอสังหาริมทรัพ์ไว้ในหมวดอสังหาริมทรัพย์ ทำให้นักลงทุนหายาก ในขณะที่รูปแบบของหลักทรัพย์ก็มีความแตกต่างกัน ตอนแรกที่เกิดกองทุนอสังหาริมทรัพย์ขึ้น ขนาดของกองทุนทั้งระบบยังเล็กจึงสามารถเอาไปรวมกันได้ แต่ตอนนี้ขนาดกองทุนทั้งระบบก็เพิ่มมากขึ้นแล้ว จึงควรแยกออกมาเทรดเฉพาะกลุ่มไปเลยจะดีกว่า" นายมาริษ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น