จากที่นำเสนอรายงานพิเศษ “เฮดจ์ฟันด์…กองทุนเจ้าปัญหา” ให้ผู้อ่านทุกท่านได้รับทราบถึงประวัติความเป็นมาในการก่อตั้ง รวมถึงประเภทและกลนุทธ์ในการลงทุน “เฮดจ์ฟันด์” ให้ทุกท่านได้รับทราบไปก่อหน้านี้แล้ว ฉบับนี้ “ทีมงานผู้จัดการรายวัน”ขอนำเสนอตัวอย่างผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากเฮดจ์ฟันด์ในอดีตมาเปิดเผยและทบทวนให้รับทราบอีกครั้ง ว่าทำไมรัฐบาลนานาประเทศ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดเงิน ตลาดทุน ถึงต้องคอยจับตาพฤติกรรมกองทุนประเภทนี้มาโดยตลอด
ขณะเดียวกัน ทีมงานฯหวังว่ารายงานพิเศษดังกล่าวจะยังประโยชน์ต่อผู้เกี่ยวข้องทั้งในภาครัฐบาลและเอกชน รวมถึงผู้ลงทุน ในการวางกรอบและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ตลอดจนการวางแผนรับมือกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน ความผันผวนในตลาดทุน และปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญอื่นๆ อันเนื่องมาจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศจำนวนมหาศาลที่เกิดขึ้นในลักษณะรุนแรงและรวดเร็วได้ขึ้น
ย้อนรอย..มหันตภัย“เฮดจ์ฟันด์”
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เฮดจ์ฟันด์ มีการเติบโตจากขนาดทรัพย์สินประมาณ 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี 1990 เป็น 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2006 และมีการคาดการณ์ว่า ขนาดของอุตสาหกรรมเฮดจ์ฟันด์จะเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2010 อันเนื่องมาจากความสามารถในการลงทุนที่หลากหลาย ทำให้เฮดจ์ฟันด์มีบทบาทที่สำคัญอย่างมากในระบบการเงินของโลก ในขณะที่การศึกษาวิจัยถึงพฤติกรรมการลงทุนและผลกระทบที่ เฮดจ์ฟันด์ มีต่อตลาดการเงินของโลกยังมีอยู่น้อยมาก แต่ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินหรือทางเศรษฐกิจ จะต้องมีชื่อของเฮดจ์ฟันด์ เป็นส่วนร่วมอยู่เสมอ โดยวิกฤตเศรษฐกิจในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาที่สำคัญ ได้แก่
เหตุการณ์ Black Wednesday ปี 1992
ในช่วงปี 1979 ถึง ปี 1990 ประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันตกได้ร่วมกันจัดตั้งระบบการเงินขึ้นใหม่คือ ระบบการเงินยุโรป (EMS-European Monetary System) ระบบการเงินยุโรปนี้ประกอบไปด้วยองค์ประกอบที่สำคัญคือ เงินสกุลยูโรจำลอง (ECU หรือ European Currency Unit) ซึ่งเป็นสกุลเงินทางบัญชีเท่านั้น ไม่มีการออกธนบัตรจริง และ ระบบอัตราแลกเปลี่ยน ERM (Exchange Rate Mechanism) ซึ่งเป็นระบบลอยตัวแบบ Managed Float ที่อนุญาตให้ค่าเงินของประเทศสมาชิกเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลยูโรจำลอง หรือ ECU ในกรอบที่กำหนดเท่านั้น (2.25%-6%)
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ECU เป็นเพียงเงินจำลองที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้จริง ทำให้ธนาคารชาติต่างๆ ไม่สามารถเข้าแทรกแซงได้ในกรณีที่เงินของประเทศนั้นออกนอก ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว จึงได้มีการกำหนดให้เงินมาร์คเยอรมัน ซึ่งเป็นสกุลเงินที่มั่นคงและมีเสถียรภาพที่สุดในยุโรปขณะนั้นเป็นแกนหลัก และให้นำค่าเงินสกุลของประเทศสมาชิกมาคำนวณเปรียบเทียบกับเงินสกุลมาร์คในการกำหนดกรอบความเคลื่อนไหวแทนเงินสกุล ECU
แม้ว่าวิธีการดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหา เนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจการเงินของประเทศเยอรมนีจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินของทุกประเทศสมาชิกที่นำเงินมาผูกติดอยู่ แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกนั้นๆ จะมีความแตกต่างกับสภาวะเศรษฐกิจของเยอรมนีมาก
จนกระทั่งมีการรวมชาติของเยอรมันตะวันออกและเยอรมันตะวันตกขึ้นในปี ค.ศ. 1990 ทำให้ประเทศเยอรมันในขณะนั้น ต้องใช้เงินลงทุนเพื่อพัฒนาเยอรมันตะวันออกในทุกๆ ด้าน โดยยอมเพิ่มการขาดดุลงบประมาณจาก 5% เป็น 13% ส่งผลให้เกิดแรงกดดันด้านสภาวะเงินเฟ้อจนธนาคารกลางเยอรมันต้องขึ้นดอกเบี้ยถึง 3% ในช่วงปี 1991-1992 ทำให้มีกระแสเงินไหลเข้าประเทศเยอรมันเป็นจำนวนมากเพื่อหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น ส่งผลให้เงินมาร์คแข็งค่าขึ้น
ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน เศรษฐกิจของประเทศอังกฤษกำลังอยู่ในสภาวะถดถอยอย่างรุนแรงทำให้อังกฤษมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลับไม่สามารถทำได้เนื่องจากจำเป็นต้องควบคุมให้ค่าเงินปอนด์อยู่ในกรอบความเคลื่อนไหวตามที่ตกลงไว้กับระบบ ERM เท่านั้น โดย เงินปอนด์ ขณะนั้นผูกอยู่กับค่าเงินมาร์ค จึงแข็งค่าเกินความเป็นจริง
โดยความไม่สมดุลของระบบการเงินขณะนั้น ทำให้ เฮดจ์ฟันด์ มองเห็นโอกาสที่จะทำกำไรจากความไม่สมดุลดังกล่าว George Soros ผู้จัดการกองทุน Quantum Fund ได้เข้ามาทำการเก็งกำไรโดยใช้กลยุทธ์ Directional Long/Short Strategy ทำการขายชอร์ตเงินปอนด์จำนวน 10 ล้านปอนด์ และซื้อหรือลงทุนในเงินมาร์คในจำนวนเท่ากัน โดยมีความเชื่อว่า ค่าเงินปอนด์จะไม่สามารถดำรงอยู่ที่ระดับดังกล่าวได้ ซึ่งจำนวนเงินลงทุนของเฮดจ์ฟันด์ที่แห่กันเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินปอนด์ในขณะนั้นคาดว่ามีอยู่ประมาณ 11.7 ล้านปอนด์ หรือเพียงแค่ประมาณ 4.4% ของทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของประเทศสมาชิกในระบบ ERM รวมกัน แต่กลับส่งผลต่อผู้เกี่ยวข้องโดยตรงของระบบเศรษฐกิจ เช่นผู้ส่งออกและผู้นำเข้าในการตัดสินใจแลกเปลี่ยนเงิน ทำให้ในที่สุด อังกฤษต้องประกาศถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกของ ERM ในเดือนกันยายน 1992 และรัฐบาลประเทศสมาชิก ERM ต่างๆ ได้ใช้เงินเข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น 100,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้กองทุน Quantum Fund ของ George Soros สามารถทำกำไรได้สูงถึง 25% ภายในระยะเวลา 1 เดือนเท่านั้น
วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ปี 1997
ในช่วงปี1985-1995 ประเทศไทยมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง การส่งออกเติบโต และมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในประเทศจำนวนมาก เมื่อมีเงินบาทจำนวนมากไหลเวียนอยู่ในระบบโดยที่รัฐบาลขณะนั้นไม่สามารถออกพันธบัตรดูดซับสภาพคล่องได้ (ขณะนั้นมีกฎหมายห้ามรัฐบาลออกพันธบัตรกู้เงินหากอยู่ในภาวะเกินดุล) ประเทศไทยจึงเผชิญกับสภาวะเงินเฟ้อ รัฐบาลได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดแรงกดดัน ทำให้อัตราดอกเบี้ยในประเทศอยู่ในระดับสูง ต่อมามีการประกาศรับมาตรา 8 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าออกโดยเสรี แต่ประเทศไทยกลับยังคงใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (ระบบตะกร้า) แทนที่จะเปลี่ยนเป็นระบบลอยตัวตามที่ควรจะเป็น จึงเป็นตัวเร่งให้บริษัทเอกชนทำการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศ (ส่วนใหญ่กู้ยืมเป็นสกุลเงินดอลล่าร์) ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าแทนการกู้เงินในประเทศ โดยไม่ทำการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (เนื่องจากเงินบาทมีค่าคงที่เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ผู้กู้เงินจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องป้องกันความเสี่ยง เพราะคิดว่าไม่มีความเสี่ยง)
แต่มาในช่วงปี 1996 เศรษฐกิจสหรัฐกลับฟื้นตัว ทำให้รัฐบาลสหรัฐเริ่มขึ้นดอกเบี้ย เงินดอลลาร์จึงแข็งค่าขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทของไทยที่ผูกติดอยู่กับเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าตามไปด้วย การส่งออกของไทยเริ่มหดตัวลง เงินลงทุนเริ่มไหลออก ประเทศไทยเริ่มขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แต่ค่าเงินบาทของไทยที่ควรจะอ่อนตามภาวะเศรษฐกิจกลับยังคงแข็งค่าตามเงินดอลล่าร์
ดังนั้น เฮดจ์ฟันด์จึงเห็นช่องทางทำกำไรจากการที่เงินบาทไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง โดย George Soros และ เฮดจ์ฟันด์อื่นๆได้เข้ามาโจมตีค่าเงินบาทด้วยการขายชอร์ตเงินบาทล่วงหน้า (การขาย Forward Contract เงินสกุลบาท คือการที่ George Soros และเฮดจ์ฟันด์อื่นๆ สัญญาที่จะส่งมอบเงินบาทเพื่อแลกกับเงินดอลลาร์สหรัฐในอนาคต ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ ซึ่งหากค่าเงินบาทอ่อนลงในอนาคตจริง ผู้ขาย Forward Contract จะกำไร)ในขณะนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยทำการป้องกันค่าเงินบาทด้วยการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปซื้อ Forward Contract ที่เฮดจ์ฟันด์ขาย จนกระทั่งมูลค่า Forward contract ในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 1997 เพิ่มขึ้นเป็น 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 40% ของเงินทุนสำรอง โดยมีการคาดเดาว่า 80%-90% ของ Forward Contract ทั้งหมดอยู่ในมือของเฮดจ์ฟันด์ไม่ใช่ผู้นำเข้าส่งออกทั่วไป
การโจมตีของเหล่า เฮดจ์ฟันด์ ยังเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเดือนพฤษภาคม 1997 ประเทศไทยได้ขอความร่วมมือจากประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และฮ่องกงในการเข้าป้องกันค่าเงินบาทอีกมูลค่ากว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในที่สุด ประเทศไทยก็ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท (Managed Float) ในเดือนกรกฎาคม 1997 ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงเกือบ 100% ในทันที ส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจซึ่งมีการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศจำนวนมากต้องมีหนี้เพิ่มขึ้นเท่าตัว บริษัทจำนวนมากล้มละลาย ธนาคารมีหนี้เสียสูงเป็นประวัติการณ์ วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยครั้งนี้ได้ส่งผลลามไปถึงเศรษฐกิจและค่าเงินของประเทศในภูมิภาคเอเชียอื่นๆ อีกหลายประเทศ จนได้ชื่อว่าโรคต้มยำกุ้ง (Tom Yum Kung Decease) ตั้งแต่ประเทศเกาหลี มาเลเซีย อินโดนิเชีย แม้กระทั่งฮ่องกงก็โดนโจมตีค่าเงินจนรัฐบาลต้องนำหุ้นจำนวนมหาศาลออกขายโดยตั้งเป็นกองทุน Exchange Traded Fund กองแรกของเอเชีย ประมาณกันว่าเฮดจ์ฟันด์สามารถทำกำไรจากการโจมตีค่าเงินเอเชียครั้งนี้ประมาณ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
LTCM ล้มละลาย ในปี 1998
LTCM หรือ Long Term Capital Fund คือ เฮดจ์ฟันด์ ที่ก่อตั้งขึ้น ในปี 1994 โดย John Meriwether โดยมี Myron Scholes และ Robert C. Merton ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ เป็นผู้จัดการกองทุน LTCMสามารถสร้างผลตอบแทนได้ ถึง 27% ต่อปี จึงดึงดูดให้มีผู้สนใจเข้าร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก ถือเป็นเฮดจ์ฟันด์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
แต่มาในปี 1998 LTCM ต้องล้มละลายโดยขาดทุนจากการลงทุนทังสิ้น 4,600 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีสาเหตุที่สำคัญมาจากการกู้ยืมเงินเพื่อลงทุนและเกิดความผิดพลาดจากการลงทุน โดยในช่วงต้นปี 1998 LTCM มีเงินทุนทั้งสิ้น 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ทำการกู้ยืมเงินเพื่อลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 155,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 31 เท่าของเงินทุนที่มีอยู่ LTCM และได้นำเงินดังกล่าวไปลงทุนโดยมีการขายชอร์ตพันธบัตรของสหรัฐ และซื้อพันธบัตรญี่ปุ่น ยูโร และพันธบัตรของประเทศตลาดเกิดใหม่หลายประเทศ รวมทั้งประเทศรัสเซีย รวมทั้งทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
โดยในการลงทุนครั้งนั้น LTCM ใช้แบบจำลองในการคำนวณมูลค่าความเสี่ยงของเงินลงทุนทั้งหมด ซึ่งผลจากการคำนวณแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ต่ำมากแม้จะมีการกู้เงินมาก แต่เหตุการณ์ที่ไม่มีในแบบจำลองได้เกิดขึ้น โดยรัสเซียเกิดปัญหาไม่สามารถชำระหนี้พันธบัตรที่ออกมาได้ ทำให้ตลาดพันธบัตรทั่วโลกเกิดความปั่นป่วน เนื่องจากคนกลัวว่ารัฐบาลอื่นอาจมีปัญหาเช่นเดียวกันโดยเฉพาะรัฐบาลที่ปล่อยกู้ให้กับรัสเซียจำนวนมากเช่น ญี่ปุ่นและยุโรป และเกิดความกังวลว่าพันธบัตรรัฐบาลของประเทศตลาดเกิดใหม่อาจเกิดปัญหตามมา ดังนั้นจึงมีการขายพันธบัตรรัฐบาลของประเทศญี่ปุ่น ประเทศในแถบยูโรและประเทศกำลังพัฒนาออกมาจำนวนมาก และกลับเข้าซื้อพันธบัตรของสหรัฐซึ่งเป็นพันธบัตรที่มีความมั่นคงสูงแทน ทำให้ LTCM เกิดการขาดทุนจำนวนมหาศาลเพราะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ขายชอร์ตกลับมีราคาเพิ่มขึ้น ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลของประเทศญี่ปุ่น ประเทศยูโรและประเทศกำลังพัฒนาที่ลงทุนไว้กลับมีราคาตกลง จนเป็นเหตุให้ **LTCM**ต้องล้มละลาย
นอกจากนี้ การล้มละลายของ LTCM ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐตกลงกว่า 8% และส่งผลให้ผู้ที่เป็นคู่ค้ากับ LTCM ต้องบันทึกผลขาดทุนจากการที่ LTCM ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน(SWAP) ที่ทำไว้มูลค่า 1.25 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ(USD1.25 trillion)
ขณะเดียวกัน ทีมงานฯหวังว่ารายงานพิเศษดังกล่าวจะยังประโยชน์ต่อผู้เกี่ยวข้องทั้งในภาครัฐบาลและเอกชน รวมถึงผู้ลงทุน ในการวางกรอบและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ตลอดจนการวางแผนรับมือกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน ความผันผวนในตลาดทุน และปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญอื่นๆ อันเนื่องมาจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศจำนวนมหาศาลที่เกิดขึ้นในลักษณะรุนแรงและรวดเร็วได้ขึ้น
ย้อนรอย..มหันตภัย“เฮดจ์ฟันด์”
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เฮดจ์ฟันด์ มีการเติบโตจากขนาดทรัพย์สินประมาณ 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี 1990 เป็น 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2006 และมีการคาดการณ์ว่า ขนาดของอุตสาหกรรมเฮดจ์ฟันด์จะเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2010 อันเนื่องมาจากความสามารถในการลงทุนที่หลากหลาย ทำให้เฮดจ์ฟันด์มีบทบาทที่สำคัญอย่างมากในระบบการเงินของโลก ในขณะที่การศึกษาวิจัยถึงพฤติกรรมการลงทุนและผลกระทบที่ เฮดจ์ฟันด์ มีต่อตลาดการเงินของโลกยังมีอยู่น้อยมาก แต่ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินหรือทางเศรษฐกิจ จะต้องมีชื่อของเฮดจ์ฟันด์ เป็นส่วนร่วมอยู่เสมอ โดยวิกฤตเศรษฐกิจในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาที่สำคัญ ได้แก่
เหตุการณ์ Black Wednesday ปี 1992
ในช่วงปี 1979 ถึง ปี 1990 ประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันตกได้ร่วมกันจัดตั้งระบบการเงินขึ้นใหม่คือ ระบบการเงินยุโรป (EMS-European Monetary System) ระบบการเงินยุโรปนี้ประกอบไปด้วยองค์ประกอบที่สำคัญคือ เงินสกุลยูโรจำลอง (ECU หรือ European Currency Unit) ซึ่งเป็นสกุลเงินทางบัญชีเท่านั้น ไม่มีการออกธนบัตรจริง และ ระบบอัตราแลกเปลี่ยน ERM (Exchange Rate Mechanism) ซึ่งเป็นระบบลอยตัวแบบ Managed Float ที่อนุญาตให้ค่าเงินของประเทศสมาชิกเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลยูโรจำลอง หรือ ECU ในกรอบที่กำหนดเท่านั้น (2.25%-6%)
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ECU เป็นเพียงเงินจำลองที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้จริง ทำให้ธนาคารชาติต่างๆ ไม่สามารถเข้าแทรกแซงได้ในกรณีที่เงินของประเทศนั้นออกนอก ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว จึงได้มีการกำหนดให้เงินมาร์คเยอรมัน ซึ่งเป็นสกุลเงินที่มั่นคงและมีเสถียรภาพที่สุดในยุโรปขณะนั้นเป็นแกนหลัก และให้นำค่าเงินสกุลของประเทศสมาชิกมาคำนวณเปรียบเทียบกับเงินสกุลมาร์คในการกำหนดกรอบความเคลื่อนไหวแทนเงินสกุล ECU
แม้ว่าวิธีการดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหา เนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจการเงินของประเทศเยอรมนีจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินของทุกประเทศสมาชิกที่นำเงินมาผูกติดอยู่ แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกนั้นๆ จะมีความแตกต่างกับสภาวะเศรษฐกิจของเยอรมนีมาก
จนกระทั่งมีการรวมชาติของเยอรมันตะวันออกและเยอรมันตะวันตกขึ้นในปี ค.ศ. 1990 ทำให้ประเทศเยอรมันในขณะนั้น ต้องใช้เงินลงทุนเพื่อพัฒนาเยอรมันตะวันออกในทุกๆ ด้าน โดยยอมเพิ่มการขาดดุลงบประมาณจาก 5% เป็น 13% ส่งผลให้เกิดแรงกดดันด้านสภาวะเงินเฟ้อจนธนาคารกลางเยอรมันต้องขึ้นดอกเบี้ยถึง 3% ในช่วงปี 1991-1992 ทำให้มีกระแสเงินไหลเข้าประเทศเยอรมันเป็นจำนวนมากเพื่อหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น ส่งผลให้เงินมาร์คแข็งค่าขึ้น
ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน เศรษฐกิจของประเทศอังกฤษกำลังอยู่ในสภาวะถดถอยอย่างรุนแรงทำให้อังกฤษมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลับไม่สามารถทำได้เนื่องจากจำเป็นต้องควบคุมให้ค่าเงินปอนด์อยู่ในกรอบความเคลื่อนไหวตามที่ตกลงไว้กับระบบ ERM เท่านั้น โดย เงินปอนด์ ขณะนั้นผูกอยู่กับค่าเงินมาร์ค จึงแข็งค่าเกินความเป็นจริง
โดยความไม่สมดุลของระบบการเงินขณะนั้น ทำให้ เฮดจ์ฟันด์ มองเห็นโอกาสที่จะทำกำไรจากความไม่สมดุลดังกล่าว George Soros ผู้จัดการกองทุน Quantum Fund ได้เข้ามาทำการเก็งกำไรโดยใช้กลยุทธ์ Directional Long/Short Strategy ทำการขายชอร์ตเงินปอนด์จำนวน 10 ล้านปอนด์ และซื้อหรือลงทุนในเงินมาร์คในจำนวนเท่ากัน โดยมีความเชื่อว่า ค่าเงินปอนด์จะไม่สามารถดำรงอยู่ที่ระดับดังกล่าวได้ ซึ่งจำนวนเงินลงทุนของเฮดจ์ฟันด์ที่แห่กันเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินปอนด์ในขณะนั้นคาดว่ามีอยู่ประมาณ 11.7 ล้านปอนด์ หรือเพียงแค่ประมาณ 4.4% ของทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของประเทศสมาชิกในระบบ ERM รวมกัน แต่กลับส่งผลต่อผู้เกี่ยวข้องโดยตรงของระบบเศรษฐกิจ เช่นผู้ส่งออกและผู้นำเข้าในการตัดสินใจแลกเปลี่ยนเงิน ทำให้ในที่สุด อังกฤษต้องประกาศถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกของ ERM ในเดือนกันยายน 1992 และรัฐบาลประเทศสมาชิก ERM ต่างๆ ได้ใช้เงินเข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น 100,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้กองทุน Quantum Fund ของ George Soros สามารถทำกำไรได้สูงถึง 25% ภายในระยะเวลา 1 เดือนเท่านั้น
วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ปี 1997
ในช่วงปี1985-1995 ประเทศไทยมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง การส่งออกเติบโต และมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในประเทศจำนวนมาก เมื่อมีเงินบาทจำนวนมากไหลเวียนอยู่ในระบบโดยที่รัฐบาลขณะนั้นไม่สามารถออกพันธบัตรดูดซับสภาพคล่องได้ (ขณะนั้นมีกฎหมายห้ามรัฐบาลออกพันธบัตรกู้เงินหากอยู่ในภาวะเกินดุล) ประเทศไทยจึงเผชิญกับสภาวะเงินเฟ้อ รัฐบาลได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดแรงกดดัน ทำให้อัตราดอกเบี้ยในประเทศอยู่ในระดับสูง ต่อมามีการประกาศรับมาตรา 8 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าออกโดยเสรี แต่ประเทศไทยกลับยังคงใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (ระบบตะกร้า) แทนที่จะเปลี่ยนเป็นระบบลอยตัวตามที่ควรจะเป็น จึงเป็นตัวเร่งให้บริษัทเอกชนทำการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศ (ส่วนใหญ่กู้ยืมเป็นสกุลเงินดอลล่าร์) ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าแทนการกู้เงินในประเทศ โดยไม่ทำการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (เนื่องจากเงินบาทมีค่าคงที่เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ผู้กู้เงินจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องป้องกันความเสี่ยง เพราะคิดว่าไม่มีความเสี่ยง)
แต่มาในช่วงปี 1996 เศรษฐกิจสหรัฐกลับฟื้นตัว ทำให้รัฐบาลสหรัฐเริ่มขึ้นดอกเบี้ย เงินดอลลาร์จึงแข็งค่าขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทของไทยที่ผูกติดอยู่กับเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าตามไปด้วย การส่งออกของไทยเริ่มหดตัวลง เงินลงทุนเริ่มไหลออก ประเทศไทยเริ่มขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แต่ค่าเงินบาทของไทยที่ควรจะอ่อนตามภาวะเศรษฐกิจกลับยังคงแข็งค่าตามเงินดอลล่าร์
ดังนั้น เฮดจ์ฟันด์จึงเห็นช่องทางทำกำไรจากการที่เงินบาทไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง โดย George Soros และ เฮดจ์ฟันด์อื่นๆได้เข้ามาโจมตีค่าเงินบาทด้วยการขายชอร์ตเงินบาทล่วงหน้า (การขาย Forward Contract เงินสกุลบาท คือการที่ George Soros และเฮดจ์ฟันด์อื่นๆ สัญญาที่จะส่งมอบเงินบาทเพื่อแลกกับเงินดอลลาร์สหรัฐในอนาคต ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ ซึ่งหากค่าเงินบาทอ่อนลงในอนาคตจริง ผู้ขาย Forward Contract จะกำไร)ในขณะนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยทำการป้องกันค่าเงินบาทด้วยการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปซื้อ Forward Contract ที่เฮดจ์ฟันด์ขาย จนกระทั่งมูลค่า Forward contract ในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 1997 เพิ่มขึ้นเป็น 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 40% ของเงินทุนสำรอง โดยมีการคาดเดาว่า 80%-90% ของ Forward Contract ทั้งหมดอยู่ในมือของเฮดจ์ฟันด์ไม่ใช่ผู้นำเข้าส่งออกทั่วไป
การโจมตีของเหล่า เฮดจ์ฟันด์ ยังเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเดือนพฤษภาคม 1997 ประเทศไทยได้ขอความร่วมมือจากประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และฮ่องกงในการเข้าป้องกันค่าเงินบาทอีกมูลค่ากว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในที่สุด ประเทศไทยก็ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท (Managed Float) ในเดือนกรกฎาคม 1997 ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงเกือบ 100% ในทันที ส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจซึ่งมีการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศจำนวนมากต้องมีหนี้เพิ่มขึ้นเท่าตัว บริษัทจำนวนมากล้มละลาย ธนาคารมีหนี้เสียสูงเป็นประวัติการณ์ วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยครั้งนี้ได้ส่งผลลามไปถึงเศรษฐกิจและค่าเงินของประเทศในภูมิภาคเอเชียอื่นๆ อีกหลายประเทศ จนได้ชื่อว่าโรคต้มยำกุ้ง (Tom Yum Kung Decease) ตั้งแต่ประเทศเกาหลี มาเลเซีย อินโดนิเชีย แม้กระทั่งฮ่องกงก็โดนโจมตีค่าเงินจนรัฐบาลต้องนำหุ้นจำนวนมหาศาลออกขายโดยตั้งเป็นกองทุน Exchange Traded Fund กองแรกของเอเชีย ประมาณกันว่าเฮดจ์ฟันด์สามารถทำกำไรจากการโจมตีค่าเงินเอเชียครั้งนี้ประมาณ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
LTCM ล้มละลาย ในปี 1998
LTCM หรือ Long Term Capital Fund คือ เฮดจ์ฟันด์ ที่ก่อตั้งขึ้น ในปี 1994 โดย John Meriwether โดยมี Myron Scholes และ Robert C. Merton ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ เป็นผู้จัดการกองทุน LTCMสามารถสร้างผลตอบแทนได้ ถึง 27% ต่อปี จึงดึงดูดให้มีผู้สนใจเข้าร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก ถือเป็นเฮดจ์ฟันด์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
แต่มาในปี 1998 LTCM ต้องล้มละลายโดยขาดทุนจากการลงทุนทังสิ้น 4,600 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีสาเหตุที่สำคัญมาจากการกู้ยืมเงินเพื่อลงทุนและเกิดความผิดพลาดจากการลงทุน โดยในช่วงต้นปี 1998 LTCM มีเงินทุนทั้งสิ้น 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ทำการกู้ยืมเงินเพื่อลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 155,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 31 เท่าของเงินทุนที่มีอยู่ LTCM และได้นำเงินดังกล่าวไปลงทุนโดยมีการขายชอร์ตพันธบัตรของสหรัฐ และซื้อพันธบัตรญี่ปุ่น ยูโร และพันธบัตรของประเทศตลาดเกิดใหม่หลายประเทศ รวมทั้งประเทศรัสเซีย รวมทั้งทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
โดยในการลงทุนครั้งนั้น LTCM ใช้แบบจำลองในการคำนวณมูลค่าความเสี่ยงของเงินลงทุนทั้งหมด ซึ่งผลจากการคำนวณแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ต่ำมากแม้จะมีการกู้เงินมาก แต่เหตุการณ์ที่ไม่มีในแบบจำลองได้เกิดขึ้น โดยรัสเซียเกิดปัญหาไม่สามารถชำระหนี้พันธบัตรที่ออกมาได้ ทำให้ตลาดพันธบัตรทั่วโลกเกิดความปั่นป่วน เนื่องจากคนกลัวว่ารัฐบาลอื่นอาจมีปัญหาเช่นเดียวกันโดยเฉพาะรัฐบาลที่ปล่อยกู้ให้กับรัสเซียจำนวนมากเช่น ญี่ปุ่นและยุโรป และเกิดความกังวลว่าพันธบัตรรัฐบาลของประเทศตลาดเกิดใหม่อาจเกิดปัญหตามมา ดังนั้นจึงมีการขายพันธบัตรรัฐบาลของประเทศญี่ปุ่น ประเทศในแถบยูโรและประเทศกำลังพัฒนาออกมาจำนวนมาก และกลับเข้าซื้อพันธบัตรของสหรัฐซึ่งเป็นพันธบัตรที่มีความมั่นคงสูงแทน ทำให้ LTCM เกิดการขาดทุนจำนวนมหาศาลเพราะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ขายชอร์ตกลับมีราคาเพิ่มขึ้น ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลของประเทศญี่ปุ่น ประเทศยูโรและประเทศกำลังพัฒนาที่ลงทุนไว้กลับมีราคาตกลง จนเป็นเหตุให้ **LTCM**ต้องล้มละลาย
นอกจากนี้ การล้มละลายของ LTCM ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐตกลงกว่า 8% และส่งผลให้ผู้ที่เป็นคู่ค้ากับ LTCM ต้องบันทึกผลขาดทุนจากการที่ LTCM ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน(SWAP) ที่ทำไว้มูลค่า 1.25 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ(USD1.25 trillion)