หลังจากที่ ได้แนะนำประวัติความเป็นมาของ **เฮดจ์ฟันด์** ออกมาเผยแพร่ให้ท่านผู้อ่านได้รับในฉบับที่ผ่านมา (25ก.พ.) แล้ว ฉบับนี้ยังเป็นเรื่อง **เฮดจ์ฟันด์** อยู่เช่นเดิม ซึ่ง**คุณ โชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด** จะนำเสนอในเรื่องประเภท และกลยุทธ์การลงการลงทุนของ **เฮดจ์ฟันด์** เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง รวมทั้งเพื่อเป็นการศึกษาแนวคิด ประเภทและกลยุทธ์การลงทุนของกองทุนดังกล่าวได้ดีขึ้น ทั้งในเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อตลาดเงิน ตลาดทุนและภาวะเศรษฐกิจ
**ประเภทและกลยุทธของเฮดจ์ฟันด์**
การเข้าใจถึงประเภทและกลยุทธ์การลงทุนของเฮดจ์ฟันด์จะช่วยให้เข้าใจแนวคิด วิธีการ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้น โดยประเภทและกลยุทธ์การลงทุนของ**เฮดจ์ฟันด์**โดยทั่วไปสามารถสรุปได้ดังนี้
**Directional Strateg**
เป็นวิธีการลงทุนที่ผู้ลงทุนต้องมีการคาดเดาทิศทางของตลาดในอนาคต เพื่อที่จะจัดพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับที่คาดการณ์ เช่นในกรณีที่คาดว่าตลาดจะปรับตัวขึ้นก็จะต้องซื้อหุ้น และถ้าคาดว่าตลาดจะปรับตัวลงก็จะขายชอร์ตหุ้น เพื่อทำกำไร เป็นต้น ทั้งนี้ กองทุนที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนในลักษณะดังกล่าวจะมีความเสี่ยงของตลาดหลักทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงไป แต่สามารถปรับเพิ่มหรือลดความเสี่ยงของตลาดได้ตามสถานะ **Long/Short**
**Market Neutral Strategy**
เป็นวิธีการลงทุนที่ต้องการกำจัดความเสี่ยงของตลาด**(Market Risk)** ออก การที่ไม่มีความเสี่ยงของตลาด กองทุนก็จะไม่ได้รับผลตอบแทนของตลาด ดังนั้นผลตอบแทนที่จะได้รับจะมาจากการเลือกหุ้นที่จะลงทุน(long Position) และหุ้นที่จะขายชอร์ต**(Short Position)** ตัวอย่างเช่น ถ้ากองทุนมีเงินลงทุน 100 บาท กองทุนที่เป็น **Market Neutral** จะทำการซื้อหุ้น **A** 100 บาท ขายชอร์ตหุ้น **B** 100 บาท และถือเงินสดไว้ 100 บาท โดยสิ่งที่กองทุนคาดหวังคือการที่หุ้น **A** จะปรับตัวขึ้นมากกว่าหุ้น **B** เพื่อให้กองทุนมีผลกำไร
ทั้งนี้ จากวิธีการดังกล่าวจะเห็นได้ว่ากองทุน **Market Neutral** จะไม่ให้ความสนใจกับสภาพตลาดรวม กล่าวคือในสภาวะที่ตลาดปรับตัวขึ้น กองทุนดังกล่าวอาจไม่ปรับตัวขึ้นหรือปรับตัวขึ้นสูงหรือต่ำกว่าตลาด ในขณะที่ตลาดปรับตัวลง กองทุนก็อาจจะไม่ปรับตัวลงหรืออาจะปรับตัวลงต่ำหรือสูงกว่าตลาดก็ได้ หากเปรียบเทียบวิธีการลงทุนแบบ **Market Neutral Hedge Fund** กับการลงทุนของกองทุนทั่วไป จะพบความแตกต่างตรง ที่กองทุนรวมทั่วไปต้องการที่จะสร้างผลตอบแทนให้ชนะตลาดด้วยการใช้กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ผู้จัดการกองทุนคัดเลือกแล้วว่าดีและคิดว่าจะขึ้น โดยจะไม่มีการขายชอร์ต **(long-only strategy)** ดังนั้นผลตอบแทนของกองทุนจึงมักมีทิศทางเดียวกับตลาดคือ ในขณะที่ตลาดปรับตัวลงกองทุนก็ปรับตัวลงแต่อาจจะมากหรือน้อยกว่าตลาดบ้าง และในขณะที่ตลาดปรับตัวขึ้น กองทุนก็ปรับตัวขึ้นแต่อาจจะมากหรือน้อยกว่าตลาดบ้างเช่นกัน
**Event-Driven Strategy**
หมายถึง การที่ **เฮดจ์ฟันด์**หาโอกาสลงทุนในหุ้นหรือตราสารที่ผู้จัดการกองทุนคิดว่าราคาตลาดไม่ได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของตราสารนั้นๆ เนื่องจากมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ออกตราสารนั้นเช่น มีการควบรวมกิจการ มีการลดขนาดกิจการ มีการปรับโครงสร้างกิจการ เป็นต้น
สำหรับ **Event driven strategy** ที่นิยมทำกันอย่างแพร่หลายคือ **Merger Arbitrage** หรือเรียกได้อีกอย่างว่า **risk arbitrage** ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทที่กำลังจะประกาศการเข้าซื้อกิจการ โดยปกติเมื่อบริษัทประกาศเจตนารมณ์ที่จะเข้าซื้อกิจการอื่น บริษัทจะทำคำเสนอซื้อหุ้นของกิจการในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดในขณะนั้น ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาตลาดขยับขึ้นมาสูงกว่าราคาเสนอซื้อ แต่จะไม่มีผลทำให้ราคาเสนอซื้อสูงขึ้นเพราะยังมีความไม่แน่นอนเนื่องจากการเข้าซื้อกิจการยังไม่เกิดขึ้น เหตุการณ์บางอย่าง เช่น การป้องกันการผูกขาด การออกเสียงคัดค้านของผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้รับประโยชน์จากการควบรวมกิจการ และเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด อย่างเช่นสภาวะตลาดตกต่ำ หรือสงคราม อาจทำให้เกิดการชะงักของแผนการดำเนินการควบรวมและทำให้แผนการไม่สามารถปฏิบัติได้จริงในสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองในขณะนั้น
อย่างไรก็ตาม ถ้าแผนการดำเนินการควบรวมล้มเหลว ราคาของหลักทรัพย์บริษัทนั้นจะตกลงในระดับที่ต่ำกว่าราคาตลาดก่อนการประกาศเข้าซื้อกิจการทันที หรือที่เรียกว่า **deal risk** ผู้ถือหุ้นหลายรายยอมรับความเสี่ยงและถือครองหลักทรัพย์ด้วยความหวังว่าแผนการควบรวมกิจการจะสำเร็จ แต่สำหรับผู้ถือหุ้นที่ตัดสินใจขายหลักทรัพย์ ณ ราคาตลาดปัจจุบันเพื่อลดความเสี่ยง **Merger arbitragers** จะเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้ซื้อ
สำหรับ ผู้ทำ **Merger arbitrage** จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในการประเมิน **deal risk** เพราะมีการจ้างนักกฎหมายเพื่อศึกษาข้อตกลงอย่างละเอียดและคาดการข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น โดยวิเคราะห์จากเศรษฐกิจ การเมืองท้องถิ่นเพื่อประเมินอารมณ์ของผู้ถือหุ้น วิเคราะห์ส่วนต่าง **(spread)** ของราคาเสนอซื้อและราคาตลาดเพื่อประเมินราคาหลักทรัพย์ และประเมิน **deal risk** และ **liquidity spread** ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการในการขายหุ้นของผู้ถือหุ้น **Merger arbitragers** จะเข้ามาช้อนซื้อหลักทรัพย์เมื่อรู้สึกว่า **liquidity spread** สูงพอ เพื่อแลกกับ **deal risk** ที่สูงขึ้น การป้องกันความเสี่ยงของ **Merger arbitragers** ทำได้โดยการขายชอร์ตหุ้นของบริษัทที่ทำการเสนอซื้อ ซึ่งเป็นการทำ **market neutral hedge** แต่จะเพิ่มความเสี่ยงจาก **deal risk**
โดยปกติแล้วราคาของหุ้นของบริษัทที่ทำการเสนอซื้อจะลดลงก่อนแผนการควบรวมจะเกิดขึ้น ซึ่งราคาจะลดลงมากถ้านักลงทุนรู้สึกว่าบริษัททำราคาเสนอซื้อที่สูงเกินไป ถ้าแผนการควบรวมกิจการสำเร็จ กำไรที่ **Merger arbitragers** ได้จะมาจากราคาหุ้นที่ลดลงของบริษัทที่ทำการเสนอซื้อ ในทางกลับกัน ถ้าแผนการควบรวมกิจการไม่สำเร็จ จะเกิดการขาดทุนเนื่องมาจากราคาหุ้นที่ดีดตัวขึ้น **Event driven strategies** แบบอื่นๆจะเน้นการลงทุนในบริษัทที่ขายแยกทรัพย์สิน บริษัทจดทะเบียนใหม่ และรวมถึงบริษัทที่ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์จากการล้มละลาย หรือบริษัทที่มีปัญหา แต่สิ่งที่ทุกกลยุทธ์มีเหมือนกันคือการหาช่องในการทำกำไรจากสภาพคล่อง โดยการซื้อสิ่งที่คนอยากขาย และขายสิ่งที่คนอยากซื้อ ซึ่งสามารถทำกำไรได้ แต่อาจขาดทุนได้ในบางครั้ง
**Multi Strategy**
ในอดีต **เฮดจ์ฟันด์**แบบ **Multi-Strategy** หมายถึงกองทุนที่บริหารจัดการโดยทีมการลงทุนมากกว่า 1 ทีม แต่ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบเดียวกัน แต่ในปัจจุบัน ความหมายได้เปลี่ยนไปเป็นเป็นหมายถึงกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่บริหารจัดการโดยบริษัทจัดการลงทุนเพียง 1 แห่ง แต่ใช้กลยุทธ์การลงทุนหลายๆ แบบ **เฮดจ์ฟันด์**ประเภท **Multi-Strategy** ได้รับความนิยมและมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 18% ของกองทุนประเภท **เฮดจ์ฟันด์** ทั้งหมด
** Fund of Hedge Funds**
เป็นกองทุนที่นำเงินไปลงทุนในกองทุนเฮดจ์ฟันด์หลายๆ กองที่บริหารโดยหลายบริษัทจัดการ โดยอาจจะเป็นกองทุนแบบ **Single Strategy** หรือ กองทุนแบบ **Multi-Strategy** ก็ได้ กองทุน **Fund of Hedge** Funds ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ต้องการหาผลตอบแทนสุทธิที่เป็นบวก **(Absolute Return)** โดยการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง สม่ำเสมอ และมีความผันผวนต่ำ กองทุนประเภท **Fund of Funds** ถือได้ว่ามีส่วนแบ่งตลาดในรูปของเม็ดเงินลงทุนที่ใหญ่ที่สุดใน**เฮดจ์ฟันด์**ทั้งหมด เนื่องจากเหตุผลหลายประการ ดังนี้
A.**เฮดจ์ฟันด์**ที่มีกลยุทธ์การลงทุนที่ตายตัวรูปแบบเดียวส่วนใหญ่มีข้อ กำหนดเรื่องจำนวนเงินขั้นต่ำในการลงทุนไว้ในระดับสูง ทำให้ผู้ลงทุนที่สามารถเข้าถึงได้มีจำนวนน้อยกว่า อีกทั้งการที่นักลงทุนนำเงินจำนวนมากมาลงทุนในกองทุนแบบกลยุทธ์เดียวเพียงกองเดียวถือว่าไม่เหมาะสม เนื่องจากไม่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีพอ หากจะถือได้ว่ามีการกระจายความเสี่ยงอย่างเพียงพอแล้ว ควรจะต้องลงทุนในกองทุนแบบกลยุทธ์เดียวอย่างน้อย 5-10 กองทุน
B.กองทุนประเภท **Fund of Funds** มีข้อได้เปรียบอยู่หลายข้อ เช่น
- มีลำดับของการบริหารจัดการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีการทำการวิเคราะห์และตรวจสอบ**เฮดจ์ฟันด์**ที่จะลงทุนอย่างละเอียดโดยมืออาชีพ และมีมาตรการในการควบคุมความเสี่ยงในการลงทุนที่รอบคอบ
- มีข้อกำหนดเรื่องวงเงินลงทุนขั้นต่ำที่ค่อนข้างต่ำกว่า**เอดจ์ฟันด์**ประเภทอื่น
- มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมภายใต้โครงสร้างของกองทุนกองเดียว
ที่มาข้อมูล: คุณ โชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด
**ประเภทและกลยุทธของเฮดจ์ฟันด์**
การเข้าใจถึงประเภทและกลยุทธ์การลงทุนของเฮดจ์ฟันด์จะช่วยให้เข้าใจแนวคิด วิธีการ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้น โดยประเภทและกลยุทธ์การลงทุนของ**เฮดจ์ฟันด์**โดยทั่วไปสามารถสรุปได้ดังนี้
**Directional Strateg**
เป็นวิธีการลงทุนที่ผู้ลงทุนต้องมีการคาดเดาทิศทางของตลาดในอนาคต เพื่อที่จะจัดพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับที่คาดการณ์ เช่นในกรณีที่คาดว่าตลาดจะปรับตัวขึ้นก็จะต้องซื้อหุ้น และถ้าคาดว่าตลาดจะปรับตัวลงก็จะขายชอร์ตหุ้น เพื่อทำกำไร เป็นต้น ทั้งนี้ กองทุนที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนในลักษณะดังกล่าวจะมีความเสี่ยงของตลาดหลักทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงไป แต่สามารถปรับเพิ่มหรือลดความเสี่ยงของตลาดได้ตามสถานะ **Long/Short**
**Market Neutral Strategy**
เป็นวิธีการลงทุนที่ต้องการกำจัดความเสี่ยงของตลาด**(Market Risk)** ออก การที่ไม่มีความเสี่ยงของตลาด กองทุนก็จะไม่ได้รับผลตอบแทนของตลาด ดังนั้นผลตอบแทนที่จะได้รับจะมาจากการเลือกหุ้นที่จะลงทุน(long Position) และหุ้นที่จะขายชอร์ต**(Short Position)** ตัวอย่างเช่น ถ้ากองทุนมีเงินลงทุน 100 บาท กองทุนที่เป็น **Market Neutral** จะทำการซื้อหุ้น **A** 100 บาท ขายชอร์ตหุ้น **B** 100 บาท และถือเงินสดไว้ 100 บาท โดยสิ่งที่กองทุนคาดหวังคือการที่หุ้น **A** จะปรับตัวขึ้นมากกว่าหุ้น **B** เพื่อให้กองทุนมีผลกำไร
ทั้งนี้ จากวิธีการดังกล่าวจะเห็นได้ว่ากองทุน **Market Neutral** จะไม่ให้ความสนใจกับสภาพตลาดรวม กล่าวคือในสภาวะที่ตลาดปรับตัวขึ้น กองทุนดังกล่าวอาจไม่ปรับตัวขึ้นหรือปรับตัวขึ้นสูงหรือต่ำกว่าตลาด ในขณะที่ตลาดปรับตัวลง กองทุนก็อาจจะไม่ปรับตัวลงหรืออาจะปรับตัวลงต่ำหรือสูงกว่าตลาดก็ได้ หากเปรียบเทียบวิธีการลงทุนแบบ **Market Neutral Hedge Fund** กับการลงทุนของกองทุนทั่วไป จะพบความแตกต่างตรง ที่กองทุนรวมทั่วไปต้องการที่จะสร้างผลตอบแทนให้ชนะตลาดด้วยการใช้กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ผู้จัดการกองทุนคัดเลือกแล้วว่าดีและคิดว่าจะขึ้น โดยจะไม่มีการขายชอร์ต **(long-only strategy)** ดังนั้นผลตอบแทนของกองทุนจึงมักมีทิศทางเดียวกับตลาดคือ ในขณะที่ตลาดปรับตัวลงกองทุนก็ปรับตัวลงแต่อาจจะมากหรือน้อยกว่าตลาดบ้าง และในขณะที่ตลาดปรับตัวขึ้น กองทุนก็ปรับตัวขึ้นแต่อาจจะมากหรือน้อยกว่าตลาดบ้างเช่นกัน
**Event-Driven Strategy**
หมายถึง การที่ **เฮดจ์ฟันด์**หาโอกาสลงทุนในหุ้นหรือตราสารที่ผู้จัดการกองทุนคิดว่าราคาตลาดไม่ได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของตราสารนั้นๆ เนื่องจากมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ออกตราสารนั้นเช่น มีการควบรวมกิจการ มีการลดขนาดกิจการ มีการปรับโครงสร้างกิจการ เป็นต้น
สำหรับ **Event driven strategy** ที่นิยมทำกันอย่างแพร่หลายคือ **Merger Arbitrage** หรือเรียกได้อีกอย่างว่า **risk arbitrage** ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทที่กำลังจะประกาศการเข้าซื้อกิจการ โดยปกติเมื่อบริษัทประกาศเจตนารมณ์ที่จะเข้าซื้อกิจการอื่น บริษัทจะทำคำเสนอซื้อหุ้นของกิจการในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดในขณะนั้น ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาตลาดขยับขึ้นมาสูงกว่าราคาเสนอซื้อ แต่จะไม่มีผลทำให้ราคาเสนอซื้อสูงขึ้นเพราะยังมีความไม่แน่นอนเนื่องจากการเข้าซื้อกิจการยังไม่เกิดขึ้น เหตุการณ์บางอย่าง เช่น การป้องกันการผูกขาด การออกเสียงคัดค้านของผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้รับประโยชน์จากการควบรวมกิจการ และเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด อย่างเช่นสภาวะตลาดตกต่ำ หรือสงคราม อาจทำให้เกิดการชะงักของแผนการดำเนินการควบรวมและทำให้แผนการไม่สามารถปฏิบัติได้จริงในสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองในขณะนั้น
อย่างไรก็ตาม ถ้าแผนการดำเนินการควบรวมล้มเหลว ราคาของหลักทรัพย์บริษัทนั้นจะตกลงในระดับที่ต่ำกว่าราคาตลาดก่อนการประกาศเข้าซื้อกิจการทันที หรือที่เรียกว่า **deal risk** ผู้ถือหุ้นหลายรายยอมรับความเสี่ยงและถือครองหลักทรัพย์ด้วยความหวังว่าแผนการควบรวมกิจการจะสำเร็จ แต่สำหรับผู้ถือหุ้นที่ตัดสินใจขายหลักทรัพย์ ณ ราคาตลาดปัจจุบันเพื่อลดความเสี่ยง **Merger arbitragers** จะเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้ซื้อ
สำหรับ ผู้ทำ **Merger arbitrage** จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในการประเมิน **deal risk** เพราะมีการจ้างนักกฎหมายเพื่อศึกษาข้อตกลงอย่างละเอียดและคาดการข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น โดยวิเคราะห์จากเศรษฐกิจ การเมืองท้องถิ่นเพื่อประเมินอารมณ์ของผู้ถือหุ้น วิเคราะห์ส่วนต่าง **(spread)** ของราคาเสนอซื้อและราคาตลาดเพื่อประเมินราคาหลักทรัพย์ และประเมิน **deal risk** และ **liquidity spread** ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการในการขายหุ้นของผู้ถือหุ้น **Merger arbitragers** จะเข้ามาช้อนซื้อหลักทรัพย์เมื่อรู้สึกว่า **liquidity spread** สูงพอ เพื่อแลกกับ **deal risk** ที่สูงขึ้น การป้องกันความเสี่ยงของ **Merger arbitragers** ทำได้โดยการขายชอร์ตหุ้นของบริษัทที่ทำการเสนอซื้อ ซึ่งเป็นการทำ **market neutral hedge** แต่จะเพิ่มความเสี่ยงจาก **deal risk**
โดยปกติแล้วราคาของหุ้นของบริษัทที่ทำการเสนอซื้อจะลดลงก่อนแผนการควบรวมจะเกิดขึ้น ซึ่งราคาจะลดลงมากถ้านักลงทุนรู้สึกว่าบริษัททำราคาเสนอซื้อที่สูงเกินไป ถ้าแผนการควบรวมกิจการสำเร็จ กำไรที่ **Merger arbitragers** ได้จะมาจากราคาหุ้นที่ลดลงของบริษัทที่ทำการเสนอซื้อ ในทางกลับกัน ถ้าแผนการควบรวมกิจการไม่สำเร็จ จะเกิดการขาดทุนเนื่องมาจากราคาหุ้นที่ดีดตัวขึ้น **Event driven strategies** แบบอื่นๆจะเน้นการลงทุนในบริษัทที่ขายแยกทรัพย์สิน บริษัทจดทะเบียนใหม่ และรวมถึงบริษัทที่ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์จากการล้มละลาย หรือบริษัทที่มีปัญหา แต่สิ่งที่ทุกกลยุทธ์มีเหมือนกันคือการหาช่องในการทำกำไรจากสภาพคล่อง โดยการซื้อสิ่งที่คนอยากขาย และขายสิ่งที่คนอยากซื้อ ซึ่งสามารถทำกำไรได้ แต่อาจขาดทุนได้ในบางครั้ง
**Multi Strategy**
ในอดีต **เฮดจ์ฟันด์**แบบ **Multi-Strategy** หมายถึงกองทุนที่บริหารจัดการโดยทีมการลงทุนมากกว่า 1 ทีม แต่ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบเดียวกัน แต่ในปัจจุบัน ความหมายได้เปลี่ยนไปเป็นเป็นหมายถึงกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่บริหารจัดการโดยบริษัทจัดการลงทุนเพียง 1 แห่ง แต่ใช้กลยุทธ์การลงทุนหลายๆ แบบ **เฮดจ์ฟันด์**ประเภท **Multi-Strategy** ได้รับความนิยมและมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 18% ของกองทุนประเภท **เฮดจ์ฟันด์** ทั้งหมด
** Fund of Hedge Funds**
เป็นกองทุนที่นำเงินไปลงทุนในกองทุนเฮดจ์ฟันด์หลายๆ กองที่บริหารโดยหลายบริษัทจัดการ โดยอาจจะเป็นกองทุนแบบ **Single Strategy** หรือ กองทุนแบบ **Multi-Strategy** ก็ได้ กองทุน **Fund of Hedge** Funds ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ต้องการหาผลตอบแทนสุทธิที่เป็นบวก **(Absolute Return)** โดยการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง สม่ำเสมอ และมีความผันผวนต่ำ กองทุนประเภท **Fund of Funds** ถือได้ว่ามีส่วนแบ่งตลาดในรูปของเม็ดเงินลงทุนที่ใหญ่ที่สุดใน**เฮดจ์ฟันด์**ทั้งหมด เนื่องจากเหตุผลหลายประการ ดังนี้
A.**เฮดจ์ฟันด์**ที่มีกลยุทธ์การลงทุนที่ตายตัวรูปแบบเดียวส่วนใหญ่มีข้อ กำหนดเรื่องจำนวนเงินขั้นต่ำในการลงทุนไว้ในระดับสูง ทำให้ผู้ลงทุนที่สามารถเข้าถึงได้มีจำนวนน้อยกว่า อีกทั้งการที่นักลงทุนนำเงินจำนวนมากมาลงทุนในกองทุนแบบกลยุทธ์เดียวเพียงกองเดียวถือว่าไม่เหมาะสม เนื่องจากไม่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีพอ หากจะถือได้ว่ามีการกระจายความเสี่ยงอย่างเพียงพอแล้ว ควรจะต้องลงทุนในกองทุนแบบกลยุทธ์เดียวอย่างน้อย 5-10 กองทุน
B.กองทุนประเภท **Fund of Funds** มีข้อได้เปรียบอยู่หลายข้อ เช่น
- มีลำดับของการบริหารจัดการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีการทำการวิเคราะห์และตรวจสอบ**เฮดจ์ฟันด์**ที่จะลงทุนอย่างละเอียดโดยมืออาชีพ และมีมาตรการในการควบคุมความเสี่ยงในการลงทุนที่รอบคอบ
- มีข้อกำหนดเรื่องวงเงินลงทุนขั้นต่ำที่ค่อนข้างต่ำกว่า**เอดจ์ฟันด์**ประเภทอื่น
- มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมภายใต้โครงสร้างของกองทุนกองเดียว
ที่มาข้อมูล: คุณ โชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด