ปัจจุบัน เฮดจ์ฟันด์ ได้รับการกล่าวขวัญถึงอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะที่เป็นตัวการที่ก่อให้เกิดความสั่นคลอนทางการเงิน และหลายครั้งนำไปสู่วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ขนาดของอุตสาหกรรมเฮดจ์ฟันด์ที่มีการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วได้มีส่วนส่งเสริมให้บทบาทของ เฮดจ์ฟันด์ ทวีความสำคัญต่อตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก
แต่จะมีใครให้คำตอบได้ว่า เฮดจ์ฟันด์....คือใคร? แนวความคิดและกลยุทธ์การลงทุนตลอดจนผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงต่อตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง
“ผู้จัดการกองทุนรวม” ได้รับเกียรติจาก “โชติกา สวนานนท์” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด (มหาชน) ที่จะมาให้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งกับ เฮดจ์ฟันด์ ในแนวความคิดและกลยุทธ์การลงทุน ว่าทำไม เฮดจ์ฟันด์ จึงมีชื่อปรากฏอยู่ทุกวันตามข่าวหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ แบบไม่เคยว่างเว้น
ปฐมบท
ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดปัจจัยหนึ่งในการพัฒนาประเทศ ในโลกเศรษฐกิจทุนนิยม เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าส่วนประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจคือตลาดเงินและตลาดทุน เนื่องจากเป็นตัวจักรสำคัญในการจัดสมดุลของผู้ที่ต้องการลงทุนและผู้ที่ต้องการเงินทุน นอกจากนี้ กระแสโลกาภิวัฒน์ การกดดันของประเทศมหาอำนาจในการเปิดเสรีทางการเงิน อีกทั้งวิวัฒนาการด้านวิศวกรรมทางการเงินและเทคโนโลยีสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วทำให้เกิดเครื่องมือและนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ที่ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเคลื่อนย้ายเงินลงทุนเพื่อหาผลประโยชน์ตอบแทนที่สูงที่สุดภายใต้ระดับความเสี่ยงที่จำกัดไว้ได้อย่างรวดเร็ว หลากหลาย และครอบคลุมไปในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
ดังนั้นความซับซ้อนของเครื่องมือทางการเงินและความรวดเร็วของการไหลเวียนของเงินทุนนี้เอง ทำให้เงินทุนสามารถไหลเวียนจากแหล่งที่มีเงินทุนเหลือไปยังแหล่งที่ต้องการเงินทุนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างแรงกดดันในการคาดเดาถึงปริมาณและระยะเวลาในการไหลเวียนเข้าออกของเงินทุนต่อเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทำให้การจัดการกับเงินทุนเข้าออกของประเทศต่างๆ สามารถทำได้ยากขึ้น จนในบางครั้งได้ก่อให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจกับประเทศนั้นๆ ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศอังกฤษ ประเทศไทยรวมถึงประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา
โดยทุกครั้งที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจอันเกี่ยวเนื่องกับการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศจำนวนมหาศาลในลักษณะรุนแรงและรวดเร็ว มักจะมีกองทุนประเภทหนึ่งที่ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวโยงด้วยในฐานะผู้ก่อให้เกิดความไม่สงบ กองทุนนั้นคือกองทุนประเภท เฮดจ์ฟันด์ นั่นเอง
ทั้งนี้เราสามารถสรุปเรื่องราวของ เฮดจ์ฟันด์ ในเรื่องประวัติความเป็นมา แนวคิด กลยุทธ์การลงทุนขนาดและการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรม รวมทั้งผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เคยเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการลงทุนของเฮดจ์ฟันด์ รวมถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ดังนี้
กำเนิดของเฮดจ์ฟันด์..ตัวแสบ
เฮดจ์ฟันด์ ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1949 ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยกองทุนเฮดจ์ฟันด์กองแรกคือ Jone Hedge Fund คำว่าเฮดจ์ (hedge) หมายถึงการป้องกันความเสี่ยง เฮดจ์ฟันด์ ในช่วงแรก จึงใช้เรียกกองทุนที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดด้วยการขายชอร์ต (Short-Selling หมายถึง การขายหลักทรัพย์โดยที่ผู้ขายไม่ได้มีหลักทรัพย์อยู่ในมือ เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ใช้เมื่อผู้ลงทุนคาดว่าราคาของหลักทรัพย์หรือตลาดอยู่ในทิศทางขาลง) เหตุที่ต้องมีการตั้งกองทุนประเภท เฮดจ์ฟันด์ ขึ้นก็เพราะกฎหมายที่กำกับดูแลการลงทุนของกองทุนรวมในสหรัฐ (Investment Company Act 1940) ไม่อนุญาตให้กองทุนรวมขายชอร์ตได้
กองทุนเฮดจ์ฟันด์ ในประเทศสหรัฐอเมริกาสมัยนั้น จึงเป็นกองทุนที่ไม่ต้องจดทะเบียนกับคณะ กรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (US SEC) และไม่ต้องทำตามกฎระเบียบในการบริหารจัดการกองทุนหลายๆ อย่าง เช่น ไม่ต้องมีการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลการลงทุนให้ผู้ลงทุนรับทราบ สามารถลงทุนในตราสารอนุพันธ์ (derivatives)ได้โดยไม่จำกัดสัดส่วน และสามารถกู้เงินไปลงทุนได้
เมื่อวิวัฒนาการของการเงินการลงทุนก้าวหน้า กลยุทธ์การลงทุนของ เฮดจ์ฟันด์ก็เริ่มมีความหลากหลายขึ้น จนในปัจจุบัน กองทุนที่เป็น เฮดจ์ฟันด์ มิใช่เป็นกองทุนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยงอย่างที่เป็นในช่วงแรก จากรูปแบบการลงทุนของเฮดจ์ฟันด์ ที่หลากหลายและไม่จำกัด ทำให้ เฮดจ์ฟันด์ ไม่มีคำจำกัดความอย่างเป็นทางการ แม้แต่คณะทำงานด้านการเงินของประธานาธิบดีสหรัฐ ก็ให้คำจำกัดความของ เฮดจ์ฟันด์ ไว้เพียงว่า “เฮดจ์ฟันด์ คือ การรวบรวมเงินจากผู้ลงทุนในลักษณะที่เป็นส่วนบุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยมีผู้เชียวชาญให้คำแนะนำ”
ดังนั้น เฮดจ์ฟันด์ จึงมีหลายประเภทตามลักษณะของวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ในการลงทุน เช่น การลงทุนโดยการคาดเดาทิศทางตลาด (Directional Trade) การลงทุนที่พยายามกำจัดความเสี่ยงของตลาดออก (Market Neutral) เหลือเพียงผลตอบแทนจากการที่ตลาดให้ราคาของหลักทรัพย์ผิดพลาดไป (Market Mispricing) การลงทุนในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของบริษัทเช่น บริษัทที่มีการควบรวมกิจการ(Corporate Event Driven) เป็นต้น
นอกจากนี้ เฮดจ์ฟันด์ ยังมีข้อแตกต่างที่สำคัญจากกองทุนรวมโดยทั่วไปตรงที่ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ สามารถกู้ยืมเงินไปลงทุนได้ ไม่ว่าทางตรง หรือโดยทางอ้อมผ่านการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ประเภทต่างๆ (leverage – หลักการคือการใช้เงินลงทุนเพียงเล็กน้อย แต่ได้รับผลจากการลงทุนเท่ากับลงทุนเต็มจำนวน หากกำไร ผลตอบแทนต่อเงินลงทุนก็จะสูงมาก ในทางกลับกัน หากขาดทุน ผลขาดทุนต่อเงินลงทุนก็จะสูงมากเช่นกัน) โดยผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ สามารถกำหนดค่าตอบแทนในการบริหารกองทุนโดยโยงกับผลประโยชน์ที่กองทุนสามารถทำได้ (Performance Fee โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 20%ของผลการดำเนินงาน) ซึ่งต่างจากกองทุนรวมที่ค่าบริหารกองทุนต้องคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเท่านั้น (ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 0.50%-1.5%)
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า เฮดจ์ฟันด์ เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ดังนั้น ผู้ที่ลงทุนใน เฮดจ์ฟันด์ จะต้องเป็นนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจและมีเงินลงทุนจำนวนมากพอสมควร โดยทั่วไป เฮดจ์ฟันด์จะกำหนดจำนวนเงินลงทุนขั้นต่ำตั้งแต่ 250,000 เหรียญสหรัฐ ถึง 1,000,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งแตกต่างจากกองทุนรวมทั่วไปที่กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำไม่ถึง 100 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ สภาพคล่องของผู้ลงทุนในเฮดจ์ฟันด์จะมีน้อยกว่าผู้ลงทุนในกองทุนรวมมาก เนื่องจากผู้ลงทุนไม่สามารถไถ่ถอนเงินลงทุนได้ทุกวันอย่างกองทุนรวม ซึ่งปกติแล้ว เฮดจ์ฟันด์ จะอนุญาตให้ไถ่ถอนเงินลงทุนไม่เกินปีละครั้งเท่านั้น
นอกจากนี้ ในช่วงก่อนปี 1998 เฮดจ์ฟันด์ในสหรัฐอเมริกามิได้อยู่ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวกับการลงทุนที่สำคัญ ทั้ง 4 ฉบับคือ กฎหมายหลักทรัพย์ปี 1933 กฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ปี 1934 กฎหมายที่ปรึกษาการลงทุนปี 1940 และกฎหมายบริษัทจัดการลงทุนปี 1940 แต่ภายหลังจากที่เกิดการล้มละลายของ Long Term Capital Management (LTCM) ซึ่งเป็นเฮดจ์ฟันด์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดขณะนั้น และมีการบริหารโดยผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลจนส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินของสหรัฐ
โดยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทางการสหรัฐอเมริกาเริ่มเล็งเห็นถึงความสำคัญในการกำกับควบคุมเฮดจ์ฟันด์ จึงมีการออกประกาศให้เฮดจ์ฟันด์ถูกควบคุมทางอ้อมจากกฎหมายต่างๆ หลายฉบับ เช่น กฎหมายห้ามใช้ข้อมูลภายในเพื่อการซื้อขาย กฎหมายที่ปรึกษาการลงทุนในเรื่องการคำนึงผลประโยชน์ของกองทุนเป็นหลัก กฎหมายการเปิดเผยข้อมูลที่บังคับให้ต้องเปิดเผยข้อมูลการลงทุนทุกไตรมาส (ใช้เฉพาะกับเฮดจ์ฟันด์ที่มีขนาดกองทุนตั้งแต่ 100 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป) รวมถึงการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์สามารถให้กู้ยืมแก่เฮดจ์ฟันด์ในวงเงินที่จำกัด
และตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา เฮดจ์ฟันด์ต้องจดทะเบียนกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ แม้จะยังคงไม่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์การลงทุนทั่วไปที่บังคับใช้กับกองทุนรวม แต่ก็ทำให้ทางการสหรัฐสามารถทราบขนาดที่แน่นอนโดยรวม รวมถึงข้อมูลการลงทุนโดยรวมของทั้งอุตสาหกรรมเฮดจ์ฟันด์ได้
ที่มาข้อมูล : นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพืจัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด
แต่จะมีใครให้คำตอบได้ว่า เฮดจ์ฟันด์....คือใคร? แนวความคิดและกลยุทธ์การลงทุนตลอดจนผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงต่อตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง
“ผู้จัดการกองทุนรวม” ได้รับเกียรติจาก “โชติกา สวนานนท์” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด (มหาชน) ที่จะมาให้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งกับ เฮดจ์ฟันด์ ในแนวความคิดและกลยุทธ์การลงทุน ว่าทำไม เฮดจ์ฟันด์ จึงมีชื่อปรากฏอยู่ทุกวันตามข่าวหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ แบบไม่เคยว่างเว้น
ปฐมบท
ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดปัจจัยหนึ่งในการพัฒนาประเทศ ในโลกเศรษฐกิจทุนนิยม เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าส่วนประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจคือตลาดเงินและตลาดทุน เนื่องจากเป็นตัวจักรสำคัญในการจัดสมดุลของผู้ที่ต้องการลงทุนและผู้ที่ต้องการเงินทุน นอกจากนี้ กระแสโลกาภิวัฒน์ การกดดันของประเทศมหาอำนาจในการเปิดเสรีทางการเงิน อีกทั้งวิวัฒนาการด้านวิศวกรรมทางการเงินและเทคโนโลยีสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วทำให้เกิดเครื่องมือและนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ที่ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเคลื่อนย้ายเงินลงทุนเพื่อหาผลประโยชน์ตอบแทนที่สูงที่สุดภายใต้ระดับความเสี่ยงที่จำกัดไว้ได้อย่างรวดเร็ว หลากหลาย และครอบคลุมไปในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
ดังนั้นความซับซ้อนของเครื่องมือทางการเงินและความรวดเร็วของการไหลเวียนของเงินทุนนี้เอง ทำให้เงินทุนสามารถไหลเวียนจากแหล่งที่มีเงินทุนเหลือไปยังแหล่งที่ต้องการเงินทุนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างแรงกดดันในการคาดเดาถึงปริมาณและระยะเวลาในการไหลเวียนเข้าออกของเงินทุนต่อเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทำให้การจัดการกับเงินทุนเข้าออกของประเทศต่างๆ สามารถทำได้ยากขึ้น จนในบางครั้งได้ก่อให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจกับประเทศนั้นๆ ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศอังกฤษ ประเทศไทยรวมถึงประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา
โดยทุกครั้งที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจอันเกี่ยวเนื่องกับการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศจำนวนมหาศาลในลักษณะรุนแรงและรวดเร็ว มักจะมีกองทุนประเภทหนึ่งที่ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวโยงด้วยในฐานะผู้ก่อให้เกิดความไม่สงบ กองทุนนั้นคือกองทุนประเภท เฮดจ์ฟันด์ นั่นเอง
ทั้งนี้เราสามารถสรุปเรื่องราวของ เฮดจ์ฟันด์ ในเรื่องประวัติความเป็นมา แนวคิด กลยุทธ์การลงทุนขนาดและการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรม รวมทั้งผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เคยเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการลงทุนของเฮดจ์ฟันด์ รวมถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ดังนี้
กำเนิดของเฮดจ์ฟันด์..ตัวแสบ
เฮดจ์ฟันด์ ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1949 ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยกองทุนเฮดจ์ฟันด์กองแรกคือ Jone Hedge Fund คำว่าเฮดจ์ (hedge) หมายถึงการป้องกันความเสี่ยง เฮดจ์ฟันด์ ในช่วงแรก จึงใช้เรียกกองทุนที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดด้วยการขายชอร์ต (Short-Selling หมายถึง การขายหลักทรัพย์โดยที่ผู้ขายไม่ได้มีหลักทรัพย์อยู่ในมือ เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ใช้เมื่อผู้ลงทุนคาดว่าราคาของหลักทรัพย์หรือตลาดอยู่ในทิศทางขาลง) เหตุที่ต้องมีการตั้งกองทุนประเภท เฮดจ์ฟันด์ ขึ้นก็เพราะกฎหมายที่กำกับดูแลการลงทุนของกองทุนรวมในสหรัฐ (Investment Company Act 1940) ไม่อนุญาตให้กองทุนรวมขายชอร์ตได้
กองทุนเฮดจ์ฟันด์ ในประเทศสหรัฐอเมริกาสมัยนั้น จึงเป็นกองทุนที่ไม่ต้องจดทะเบียนกับคณะ กรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (US SEC) และไม่ต้องทำตามกฎระเบียบในการบริหารจัดการกองทุนหลายๆ อย่าง เช่น ไม่ต้องมีการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลการลงทุนให้ผู้ลงทุนรับทราบ สามารถลงทุนในตราสารอนุพันธ์ (derivatives)ได้โดยไม่จำกัดสัดส่วน และสามารถกู้เงินไปลงทุนได้
เมื่อวิวัฒนาการของการเงินการลงทุนก้าวหน้า กลยุทธ์การลงทุนของ เฮดจ์ฟันด์ก็เริ่มมีความหลากหลายขึ้น จนในปัจจุบัน กองทุนที่เป็น เฮดจ์ฟันด์ มิใช่เป็นกองทุนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยงอย่างที่เป็นในช่วงแรก จากรูปแบบการลงทุนของเฮดจ์ฟันด์ ที่หลากหลายและไม่จำกัด ทำให้ เฮดจ์ฟันด์ ไม่มีคำจำกัดความอย่างเป็นทางการ แม้แต่คณะทำงานด้านการเงินของประธานาธิบดีสหรัฐ ก็ให้คำจำกัดความของ เฮดจ์ฟันด์ ไว้เพียงว่า “เฮดจ์ฟันด์ คือ การรวบรวมเงินจากผู้ลงทุนในลักษณะที่เป็นส่วนบุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยมีผู้เชียวชาญให้คำแนะนำ”
ดังนั้น เฮดจ์ฟันด์ จึงมีหลายประเภทตามลักษณะของวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ในการลงทุน เช่น การลงทุนโดยการคาดเดาทิศทางตลาด (Directional Trade) การลงทุนที่พยายามกำจัดความเสี่ยงของตลาดออก (Market Neutral) เหลือเพียงผลตอบแทนจากการที่ตลาดให้ราคาของหลักทรัพย์ผิดพลาดไป (Market Mispricing) การลงทุนในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของบริษัทเช่น บริษัทที่มีการควบรวมกิจการ(Corporate Event Driven) เป็นต้น
นอกจากนี้ เฮดจ์ฟันด์ ยังมีข้อแตกต่างที่สำคัญจากกองทุนรวมโดยทั่วไปตรงที่ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ สามารถกู้ยืมเงินไปลงทุนได้ ไม่ว่าทางตรง หรือโดยทางอ้อมผ่านการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ประเภทต่างๆ (leverage – หลักการคือการใช้เงินลงทุนเพียงเล็กน้อย แต่ได้รับผลจากการลงทุนเท่ากับลงทุนเต็มจำนวน หากกำไร ผลตอบแทนต่อเงินลงทุนก็จะสูงมาก ในทางกลับกัน หากขาดทุน ผลขาดทุนต่อเงินลงทุนก็จะสูงมากเช่นกัน) โดยผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ สามารถกำหนดค่าตอบแทนในการบริหารกองทุนโดยโยงกับผลประโยชน์ที่กองทุนสามารถทำได้ (Performance Fee โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 20%ของผลการดำเนินงาน) ซึ่งต่างจากกองทุนรวมที่ค่าบริหารกองทุนต้องคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเท่านั้น (ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 0.50%-1.5%)
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า เฮดจ์ฟันด์ เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ดังนั้น ผู้ที่ลงทุนใน เฮดจ์ฟันด์ จะต้องเป็นนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจและมีเงินลงทุนจำนวนมากพอสมควร โดยทั่วไป เฮดจ์ฟันด์จะกำหนดจำนวนเงินลงทุนขั้นต่ำตั้งแต่ 250,000 เหรียญสหรัฐ ถึง 1,000,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งแตกต่างจากกองทุนรวมทั่วไปที่กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำไม่ถึง 100 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ สภาพคล่องของผู้ลงทุนในเฮดจ์ฟันด์จะมีน้อยกว่าผู้ลงทุนในกองทุนรวมมาก เนื่องจากผู้ลงทุนไม่สามารถไถ่ถอนเงินลงทุนได้ทุกวันอย่างกองทุนรวม ซึ่งปกติแล้ว เฮดจ์ฟันด์ จะอนุญาตให้ไถ่ถอนเงินลงทุนไม่เกินปีละครั้งเท่านั้น
นอกจากนี้ ในช่วงก่อนปี 1998 เฮดจ์ฟันด์ในสหรัฐอเมริกามิได้อยู่ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวกับการลงทุนที่สำคัญ ทั้ง 4 ฉบับคือ กฎหมายหลักทรัพย์ปี 1933 กฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ปี 1934 กฎหมายที่ปรึกษาการลงทุนปี 1940 และกฎหมายบริษัทจัดการลงทุนปี 1940 แต่ภายหลังจากที่เกิดการล้มละลายของ Long Term Capital Management (LTCM) ซึ่งเป็นเฮดจ์ฟันด์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดขณะนั้น และมีการบริหารโดยผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลจนส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินของสหรัฐ
โดยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทางการสหรัฐอเมริกาเริ่มเล็งเห็นถึงความสำคัญในการกำกับควบคุมเฮดจ์ฟันด์ จึงมีการออกประกาศให้เฮดจ์ฟันด์ถูกควบคุมทางอ้อมจากกฎหมายต่างๆ หลายฉบับ เช่น กฎหมายห้ามใช้ข้อมูลภายในเพื่อการซื้อขาย กฎหมายที่ปรึกษาการลงทุนในเรื่องการคำนึงผลประโยชน์ของกองทุนเป็นหลัก กฎหมายการเปิดเผยข้อมูลที่บังคับให้ต้องเปิดเผยข้อมูลการลงทุนทุกไตรมาส (ใช้เฉพาะกับเฮดจ์ฟันด์ที่มีขนาดกองทุนตั้งแต่ 100 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป) รวมถึงการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์สามารถให้กู้ยืมแก่เฮดจ์ฟันด์ในวงเงินที่จำกัด
และตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา เฮดจ์ฟันด์ต้องจดทะเบียนกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ แม้จะยังคงไม่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์การลงทุนทั่วไปที่บังคับใช้กับกองทุนรวม แต่ก็ทำให้ทางการสหรัฐสามารถทราบขนาดที่แน่นอนโดยรวม รวมถึงข้อมูลการลงทุนโดยรวมของทั้งอุตสาหกรรมเฮดจ์ฟันด์ได้
ที่มาข้อมูล : นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพืจัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด