xs
xsm
sm
md
lg

ฟิลลิปชี้กองบอนด์ระยะสั้นในปท.บูม หลังเฟดลดดอกเบี้ยทำยิลด์"ECP"หด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.ฟิลลิประบุนักลงทุนหันลงทุนในไทยเพิ่ม หลังเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย ชี้อนาคตกองทุนระยะสั้น 3 เดือน 6 เดือนได้รับอานิสงส์มากที่สุด ส่วนมันนี่มาร์เก็ตยังเป็นแหล่งเงินที่ดี จากการที่มีสภาพคล่องสูงกว่า ขณะเดี่ยวกันเตรียมออกกองทุนRMF เอาใจนักลงทุน หลังเชื่อตลาดหุ้นไทย และภูมิภาคเอเชียยังน่าลงทุน แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว พร้อมจี้กนง.ถึงเวลาปรับลดดอกเบี้ย กระตุ้นเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็ง

นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ฟิลลิป จำกัด กล่าวว่า การที่นักลงทุนบางส่วนหันมาลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น หลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด 1.25% เนื่องจากนักลงทุนขาดแรงจูงใจจากผลตอบแทนที่จะได้รับ ซึ่งเมื่อปรับอัตราความเสี่ยงจากการลงทุนแล้วผลตอบแทนที่ได้จะน้อยกว่าการลงทุนในประเทศ โดยกองทุนรวมมันนี่มาร์เก็ตคงไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้เนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ส่วนนักลงทุนที่เริ่มหันกลับมาสนใจลงทุนในประเทศมากขึ้นคงจะให้ความสนใจกับกองตราสารหนี้ระยะสั้น 3 เดือนหรือ 6 เดือนมากว่า และกองมันนี่มาร์เก็ตน่าจะเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่อง เนื่องจากสามารถเข้าออกได้ทุกวัน

"กองมันนี่มาร์เก็ตคงเหมือนเป็นการฝากเงินออมทรัพย์ แต่ได้ผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งกอง Pcash ของเราก็ให้ผลตอบแทนถึง 2.88% ส่วนการที่นักลงทุนหันมาลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้นหลังจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในตราสารหนี้ยุโรปหายไปคงจะส่งผลดีต่อกองประเภท 3 เดือน 6 เดือนมากกว่า และเชื่อว่าบริษัทต่างๆ จะมีการทำกองประเภทนี้ออกมาเพื่อรับดีมานด์ในส่วนนี้ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ที่จะเข้ามาลงทุนในกองประเภทนี้ เป็นเพราะต้องการผลตอบแทนที่มากกว่า ถึงจะไม่มากนักแต่ก็ยังได้ ส่วนมันนี่มาร์เก็ตคงจะเป็นที่พักเงินสำหรับคนที่ต้องการสภาพคล่องมากกว่า เนื่องจากเข้าออกได้ทุกวัน"นายวรรธนะกล่าว

อย่างไรก็ตามการออกกองทุนระยะสั้นประเภท 3 เดือน 6 เดือนยังคงติดปัญหาในเรื่องของอันดับเรตติ้งของตราสารหนี้อยู่ ซึ่งบริษัทคงจะยังไม่ออกในกองประเภทนี้ เนื่องจากหากเป็นกองมันนี่มาร์เก็ตเราสามารถหาตราสารที่ระดับ AA และมีผลตอบแทนประมาณ 3% แต่ในกองระยะสั้นประเภทนี้การหากตราสารหนี้ที่มีอันดับดีๆ ยังมีออกมาไม่มากนัก

นายวรรธนะ กล่าวอีกว่า กองทุนรวม PFIX ที่ปิดขายไอพีโอในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาถือว่าได้รับผลตอบรับจากนักลงทุนดีในระดับหนึ่ง โดยสามารถระดมเงินได้ 870 ล้านบาท ซึ่งกองทุนนี้จะเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลนิวซีแลนด์ในระยะ 3 เดือนแรก โดยจะเปิดช่องในเรื่องของการป้องกันความเสี่ยงไว้ ทำให้ผลตอบแทนได้ไม่สามารถคาดเดาได้ แต่จากอัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้เชื่อว่า เมื่อปรับค่าความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนแล้วน่าจะได้ถึง 4% ต่อปี แต่จะได้ถึง 5.8% ได้หากความเสี่ยงเรื่องค่าเงินที่เปิดทางไว้มีแนวโน้มแข็งค่างกว่าเงินบาทไทย

ทั้งนี้ การที่บริษัทเน้นให้ความสำคัญในเรื่องการให้ความเข้าใจในความเสี่ยงจากการลงทุนที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ในการลงทุนอย่างถูกต้อง และเชื่อว่าลูกค้าที่เข้ามาลงทุนกับเราคงเข้าใจถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดีแล้ว อย่างไรก็ตามจากการทำรายเงินในการปิดขายไอพีโอเพื่อนำเสนอ ก.ล.ต. ก่อนที่จะนำเงินไปลงทุนนั้น แนวโน้มค่าเงินของนิวซีแลนด์ขณะนี้อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินบาทเล็กน้อย จึงคิดว่าจะเป็นผลดีที่จะเข้าไปลงทุนในช่วงนี้

สำหรับแผนการออกกองทุนในปีนี้ ทางบริษัทได้มีการพิจารณาเตรียมที่จะจัดตั้งกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) ทั้งในแบบที่เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ และกองทุนผสม โดยเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นขณะนี้จะเป็นช่วงที่ดี เนื่องจากเป็นช่วงที่ดัชนีตลาดหลังทรัพย์มีการปรับตัวลดลง และเชื่อว่าไทย และตลาดในภูมิภาคเอเชียจะมีศักยภาพในการเติบโตมากที่สุด หลังจากที่สหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นเองได้รับผลกระทบต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และปัญหาซับไพรม์

นายวรรธนะ กล่าวอีกว่า สถาการณ์อัตราดอกเบี้ยของไทยในปัจจุบัน หลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดคิดว่า ทางกนง.ควรจะมีการพิจารณาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้แล้ว ซึ่งหากปล่อยเอาไว้จะทำให้เกิดปัญหาค่าเงินบาทที่ทยอยแข็งค่าขึ้นมากจากเงินทุนต่างประเทศที่เข้ามาเก็งกำไร โดยตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้วการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงน่าจะแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิให้มีการเจริญเติบโต ส่วนการจะปรับลดเท่าไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้มีอำนาจ

"ประเทศไทยควรคิดถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้แล้ว และตอนนี้ของเราก็มากว่าสหรัฐอยู่หลังจากที่เฟดปรับลดไป1.25%ก่อนหน้านี้ และเมื่อเป็นอย่างนี้ปัญหาที่ตามมาคือปัญหาค่าเงินบาท ซึ่งทางเศรษฐศาสตร์การแก้ก็ต้องมีการลดดอกเบี้ย แต่ขณะนี้กลายเป็นบาทแข็งแต่ดอกเบี้ยกลับสูง โดยการลดดอกเบี้ยจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยทำให้จะเป็นผลดีต่อไทย หลังจากเศรษฐกิจค่อนข้างอึมครึมมานาน ส่วนจะลดเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับกนง. แต่ส่วนตัวมองว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 0.25% มากกว่า แต่หากเกินกว่านั้นไปถึง 0.5% รู้สึกว่าจะมากเกินไป และอาจต้องมองไปถึงเรื่องเงินเฟ้อด้วย หลังจากที่สินค้าเริ่มมีราคาแพงขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัว และอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง"นายวรรธนะกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น