นายกสมาคมบลจ. ชู "พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์" และ "กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น" เป็น 2 กองทุนเด่น เหมาะแก่การลงทุนที่ผันผวนในช่วงนี้ ส่วนกองทุนหุ้นยังมีลุ้น ถ้าได้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนี พร้อมแนะนักลงทุน ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจเลือกลงทุน โดยเฉพาะกองทุนต่างประเทศ ที่ต้องพิจารณาความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) กล่าวแสดงความคิดเห็นในงานสัมมนา “ปี 51 พันธบัตร หุ้น ทอง กองทุนรวม (ต่างประเทศ และอสังหาฯ) อะไรน่าลงทุนกว่ากัน” ว่า ในปี 2551 ตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจลงทุนอยู่ แต่ในการลงทุนผ่านกองทุนรวมนั้น เชื่อว่ากองทุนที่จะให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้ดีในปีนี้ คือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) เพราะให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับสูงประมาณ 7 -8% อีกทั้งบางกองทุนยังสามารถจ่ายปันผลได้ถึงไตรมาสละหนึ่งครั้ง หรือ จ่ายปันผล 4 ครั้งต่อปี แม้ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นสำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จะไม่หวือหวา จากสภาพคล่องที่มีน้อยก็ตาม
ขณะเดียวกัน กองทุนบำเหน็จบำนาญ หรือกองทุนเพื่อการเกษียณอายุในช่วงนี้ ต่างให้ความสนใจที่จะนำการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เข้าพอร์ตเพิ่มขึ้น เพราะจะทำให้ได้ทั้งอัตราผลตอบแทน และกำไรจากการขายที่ดีนั่นเอง
“สำหรับคนเล่นหุ้นอาจไม่ชอบหุ้นกองทุนรวมอสังหาฯ เนื่องจากราคาหุ้นไม่ค่อยมีการปรับตัว หรือไม่มีการเคลื่อนไหวทำให้คนเล่นหุ้นบางคนไม่ชอบ แต่กองทุนรวมอสังหาฯ นับทางเลือกในการลงทุนที่ดีอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งในเรื่องนี้ ผมพยายามที่จะให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวกับผู้ลงทุนมากขึ้น เพื่อชี้แจงให้เห็นถึงข้อดีของกองทุนประเภทนี้ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากแบงก์”นายมาริษกล่าว
นายมาริษกล่าวว่า ปัจจุบันมีกองทุนรวมที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาประมาณ 500 – 600 กองทุน ซึ่งถือว่าช่วยเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้กับผู้สนใจได้เป็นจำนวนมาก เพราะกองทุนเหล่านี้แยกประเภทการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ การที่พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากที่จะเริ่มมีการใช้เร็วๆนี้ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่จะให้ประชาชนหันมาสนใจกองทุนรวมมากขึ้น
ทั้งนี้ มองว่าการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ดูจะเหมาะสำหรับการลงทุนในช่วงนี้มากที่สุด ไม่ว่าจะเลือกเข้าทุนในกองทุนระยะเวลาใด ทั้งระยะสั้นๆ 3 เดือน ,ระยะ 6 เดือน รวมทั้งระยะเวลา 9 เดือน และระยะเวลา 1 ปี เพราะการลงทุนในช่วงระยะสั้นดังกล่าว ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในปัจจุบัน และทำให้ผู้ถือหน่วยสามารถบริหารการเงินระยะสั้นของตัวเองได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม หากผู้ลงทุนรายใดสนใจเข้าลงทุนในกองทุนพันธบัตร ควรที่จะเลือกเข้าลงทุนในกองทุนพันธบัตรระยะกลาง ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยในประเทศไม่ปรับลดลงไปมากกว่านี้
ส่วนการลงทุนในพันธบัตรต่างประเทศนั้น นายมาริษ กล่าวว่า ควรเลือกกองทุนมีการประกันความเสี่ยง แม้อัตราผลตอบแทนจะน้อยลง แต่เม็ดเงินที่นำไปลงทุนจะไม่มีปัญหา ในเรื่องของการแลกเปลี่ยนค่าเงินทั้งไปและกลับ ซึ่งที่ผ่านมามีบางกองทุนที่ไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของของต่างประเทศแต่ไม่การรับประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้นผู้ลงทุนต้องศึกษารายละเอียดกองทุนนั้นๆก่อนตัดสินใจเข้าลงทุนให้ดี
สำหรับการลงทุนในกองทุนหุ้น ประเมินว่าในปีที่ผ่านมา กองทุนหุ้นต่างให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แทบจะทุกกอง ซึ่งทำให้เห็นว่าแม้ภาวะตลาดหุ้นจะมีความผันผวน แต่การลงทุนในกองทุนในประภทนี้ยังให้ผลตอบแทนที่อยู่เหนือกว่า
ขณะที่การลงทุนในทองคำของกองทุนรวมนั้น ในปีที่ผ่านมามีบริษัทจัดการลงทุนหลายรายจัดตั้งกองทุนประเภทดังกล่าวออกมา ซึ่งรูปแบบในการลงทุนนั้นจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป โดยอาจเป็นการจัดตั้งกองทุนเพื่อไปซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนทองคำในต่างประเทศ หรือจัดตั้งกองทุนขึ้นมา โดยอัตราผลตอบแทนอ้างอิงกับดัชนีทองคำเป็นต้น สำหรับบลจ.ไอเอ็นจี นั้น มีการลงทุนในทองคำเช่นกัน โดยแบ่งเป็นลงทุนทองคำ 50% และอีก 50% ลงทุนหุ้นทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวเตือนผู้ที่สนใจว่า ควรศึกษาข้อมูลการลงทุนในกองทุนนั้นๆ ให้ดีก่อนการตัดสินใจ เพื่อเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากการลงทุนในทุกกองทุนนั้นมีความเสี่ยง ที่ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้ลงทุนด้วย อีกทั้งบางกองทุนมีความซับซ้อน อาทิ การซื้อขายคืนหน่วยลงทุน จึงทำให้เรื่องดังกล่าว ควรเป็นสิ่งที่ผู้ลงทุนต้องทำการศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วน
นายศุภกร สุนทรกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดลงถึง 2 ครั้งในช่วงเวลาไม่นาน ทำให้การลงทุนในตั๋ว ECP ในต่างประเทศขายไม่ได้เนื่องจากผลตอบแทนลดลงตามการปรับลดของเฟด ซึ่งจากทิศทางดังกล่าว ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นในประเทศน่าสนใจเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ด้วย
"ในปีนี้เอง กองทุนต่างประเทศอาจจะหดตัวลงบ้าง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของต่างประเทศลดลงตามการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งต่างจากปีที่ผ่านมา ที่กองทุนประเภทนี้เติบโตเป็นอย่างมาก จากเงินลงทุนที่มีสัดส่วนประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท ก่อนจะขยับขึ้นมาเป็น 2 แสนล้านบาทในช่วงสิ้นปี"นายศุภกรกล่าว
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) กล่าวแสดงความคิดเห็นในงานสัมมนา “ปี 51 พันธบัตร หุ้น ทอง กองทุนรวม (ต่างประเทศ และอสังหาฯ) อะไรน่าลงทุนกว่ากัน” ว่า ในปี 2551 ตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจลงทุนอยู่ แต่ในการลงทุนผ่านกองทุนรวมนั้น เชื่อว่ากองทุนที่จะให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้ดีในปีนี้ คือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) เพราะให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับสูงประมาณ 7 -8% อีกทั้งบางกองทุนยังสามารถจ่ายปันผลได้ถึงไตรมาสละหนึ่งครั้ง หรือ จ่ายปันผล 4 ครั้งต่อปี แม้ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นสำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จะไม่หวือหวา จากสภาพคล่องที่มีน้อยก็ตาม
ขณะเดียวกัน กองทุนบำเหน็จบำนาญ หรือกองทุนเพื่อการเกษียณอายุในช่วงนี้ ต่างให้ความสนใจที่จะนำการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เข้าพอร์ตเพิ่มขึ้น เพราะจะทำให้ได้ทั้งอัตราผลตอบแทน และกำไรจากการขายที่ดีนั่นเอง
“สำหรับคนเล่นหุ้นอาจไม่ชอบหุ้นกองทุนรวมอสังหาฯ เนื่องจากราคาหุ้นไม่ค่อยมีการปรับตัว หรือไม่มีการเคลื่อนไหวทำให้คนเล่นหุ้นบางคนไม่ชอบ แต่กองทุนรวมอสังหาฯ นับทางเลือกในการลงทุนที่ดีอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งในเรื่องนี้ ผมพยายามที่จะให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวกับผู้ลงทุนมากขึ้น เพื่อชี้แจงให้เห็นถึงข้อดีของกองทุนประเภทนี้ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากแบงก์”นายมาริษกล่าว
นายมาริษกล่าวว่า ปัจจุบันมีกองทุนรวมที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาประมาณ 500 – 600 กองทุน ซึ่งถือว่าช่วยเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้กับผู้สนใจได้เป็นจำนวนมาก เพราะกองทุนเหล่านี้แยกประเภทการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ การที่พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากที่จะเริ่มมีการใช้เร็วๆนี้ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่จะให้ประชาชนหันมาสนใจกองทุนรวมมากขึ้น
ทั้งนี้ มองว่าการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ดูจะเหมาะสำหรับการลงทุนในช่วงนี้มากที่สุด ไม่ว่าจะเลือกเข้าทุนในกองทุนระยะเวลาใด ทั้งระยะสั้นๆ 3 เดือน ,ระยะ 6 เดือน รวมทั้งระยะเวลา 9 เดือน และระยะเวลา 1 ปี เพราะการลงทุนในช่วงระยะสั้นดังกล่าว ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในปัจจุบัน และทำให้ผู้ถือหน่วยสามารถบริหารการเงินระยะสั้นของตัวเองได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม หากผู้ลงทุนรายใดสนใจเข้าลงทุนในกองทุนพันธบัตร ควรที่จะเลือกเข้าลงทุนในกองทุนพันธบัตรระยะกลาง ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยในประเทศไม่ปรับลดลงไปมากกว่านี้
ส่วนการลงทุนในพันธบัตรต่างประเทศนั้น นายมาริษ กล่าวว่า ควรเลือกกองทุนมีการประกันความเสี่ยง แม้อัตราผลตอบแทนจะน้อยลง แต่เม็ดเงินที่นำไปลงทุนจะไม่มีปัญหา ในเรื่องของการแลกเปลี่ยนค่าเงินทั้งไปและกลับ ซึ่งที่ผ่านมามีบางกองทุนที่ไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของของต่างประเทศแต่ไม่การรับประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้นผู้ลงทุนต้องศึกษารายละเอียดกองทุนนั้นๆก่อนตัดสินใจเข้าลงทุนให้ดี
สำหรับการลงทุนในกองทุนหุ้น ประเมินว่าในปีที่ผ่านมา กองทุนหุ้นต่างให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แทบจะทุกกอง ซึ่งทำให้เห็นว่าแม้ภาวะตลาดหุ้นจะมีความผันผวน แต่การลงทุนในกองทุนในประภทนี้ยังให้ผลตอบแทนที่อยู่เหนือกว่า
ขณะที่การลงทุนในทองคำของกองทุนรวมนั้น ในปีที่ผ่านมามีบริษัทจัดการลงทุนหลายรายจัดตั้งกองทุนประเภทดังกล่าวออกมา ซึ่งรูปแบบในการลงทุนนั้นจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป โดยอาจเป็นการจัดตั้งกองทุนเพื่อไปซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนทองคำในต่างประเทศ หรือจัดตั้งกองทุนขึ้นมา โดยอัตราผลตอบแทนอ้างอิงกับดัชนีทองคำเป็นต้น สำหรับบลจ.ไอเอ็นจี นั้น มีการลงทุนในทองคำเช่นกัน โดยแบ่งเป็นลงทุนทองคำ 50% และอีก 50% ลงทุนหุ้นทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวเตือนผู้ที่สนใจว่า ควรศึกษาข้อมูลการลงทุนในกองทุนนั้นๆ ให้ดีก่อนการตัดสินใจ เพื่อเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากการลงทุนในทุกกองทุนนั้นมีความเสี่ยง ที่ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้ลงทุนด้วย อีกทั้งบางกองทุนมีความซับซ้อน อาทิ การซื้อขายคืนหน่วยลงทุน จึงทำให้เรื่องดังกล่าว ควรเป็นสิ่งที่ผู้ลงทุนต้องทำการศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วน
นายศุภกร สุนทรกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดลงถึง 2 ครั้งในช่วงเวลาไม่นาน ทำให้การลงทุนในตั๋ว ECP ในต่างประเทศขายไม่ได้เนื่องจากผลตอบแทนลดลงตามการปรับลดของเฟด ซึ่งจากทิศทางดังกล่าว ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นในประเทศน่าสนใจเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ด้วย
"ในปีนี้เอง กองทุนต่างประเทศอาจจะหดตัวลงบ้าง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของต่างประเทศลดลงตามการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งต่างจากปีที่ผ่านมา ที่กองทุนประเภทนี้เติบโตเป็นอย่างมาก จากเงินลงทุนที่มีสัดส่วนประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท ก่อนจะขยับขึ้นมาเป็น 2 แสนล้านบาทในช่วงสิ้นปี"นายศุภกรกล่าว