“บัวหลวง”พอใจยอดขายกองตราสารหนี้ในประเทศ 1 พันล้าน แม้ไม่เต็มมูลค่าโครงการ เหตุนักลงทุนยังจับตาสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยอยู่ เผยการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศจะได้รับความสนใจมากขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยในประเทศยังอยู่ในช่วงขาลงจากแรงกดดันจากภายนอก และการแข็งค่าของเงินบาท ล่าสุดเตรียมเตรียมเข็นกองตราสารหนี้ 6 เดือน ออกขายเพิ่ม
นายวศิน วัฒนวรกิจกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทหลังกทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า การเปิดขายกองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 2/08 ระหว่างวันที่ 24 – 30 มกราคม 2551 ที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนพอสมควร และมียอดการจองซื้อหน่วยลงทุนประมาณ 1 พันล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่ยอดจองไม่เต็มมูลค่าโครงการเป็นเพราะนักลงทุนยังเฝ้าดูสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยอยู่ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 1.25% ในการประชุม 2 ครั้งที่ผ่านมา
โดยหลังจากนี้คาดว่านักลงทุนอาจมีการปรับการลงทุนจากตราสารหนี้นอกประเทศ เข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้นได้ เนื่องจากแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาลง ทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับน้อยลงตาม ซึ่งหลังจากนี้นักลงทุนจำเป็นที่จะต้องหันมาลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุมากขึ้นตามสถานการณ์ ส่วนอัตราดอกเบี้ยในประเทศหลังจากนี้คงจะระบุชัดเจนไม่ได้ว่าจะอยู่ในช่วงขาลงหรือไม่ แต่จากแรงกดดันจากภายนอกและ ความกังวลเรื่องค่าเงินบาทแล้ว ทำให้คาดว่าอัตราดอกเบี้ยคงจะไม่ปรับตัวขึ้นหลังจากนี้
"อัตราดอกเบี้ยในประเทศคงบอกไม่ได้ว่าจะปรับลดหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับ กนง.ว่าจะตัดสินอย่างไร แต่จากแรงกดจากภายนอก ทั้งเฟดลดดอกเบี้ย และภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นแล้ว เชื่อว่าคงไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นหลังจากนี้"นายวศินกล่าว
นายวศิน กล่าวอีกว่า กองทุนตราสารหนี้ที่บริษัทจะออกขายให้นักลงทุนหลังจากนี้จะเป็นกองทุนที่เข้าใจง่ายและไม่ซับซ้อน เนื่องจากเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่ที่ลงทุนในตราสารหนี้ล้วนต้องการผลตอบแทนที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายมากว่า การออกกองทุนประเภทสตรัคเจอร์โน๊ตที่มีการอ้างอิงผลตอบแทนกับดัชนี หรือสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ที่ผลตอบแทนไม่ค่อยแน่นอนน โดยประมาณเดือนหน้าบริษัทจะมีกองทุนตราสารหนี้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือนออกมาเพิ่มอีก เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนอในทุกๆ เดือน
“เข้าใจว่านักลงทุนที่ลงทุนในกองตราสารหนี้คงจะต้องการอะไรที่ตรง เราจึงคิดว่ากองที่ออกขายก็ไม่ควรที่จะซับซ้อน และมีผลตอบแทนที่ชัดเจน ซึ่งคงจะเป็นกองลักษณะนี้มากว่า ส่วนกองสตรัคเจอร์โน้ตคงจะไม่ออกเนื่องจากผลตอบแทนที่ได้ไม่ชัดเจน และขึ้นลงอยู่เสมอ”นายวศินกล่าว
สำหรับกองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 2/08 มีอายุโครงการประมาณ 10 - 12 เดือน และมีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หรือพันธบัตร หรือตราสารแห่งหนี้ที่กระทรวงการคลัง หรือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นผู้ออก ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝาก บัตรเงินฝาก ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตราสารแห่งหนี้ของสถาบันการเงิน และหรือพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นด้วยการทำ ธุรกรรมการซื้อตราสารแห่งหนี้ภาครัฐกับสถาบันการเงิน โดยมีสัญญาที่จะขายคืนตราสารแห่งหนี้ดังกล่าวตามวันที่กำหนดในสัญญา
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Notes) และผู้ลงทุนจะได้รับเงินจากการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติภายใน 6 เดือนแรกและอีกครั้งในวันครบกำหนดอายุกองทุน ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่หักภาษี ณ ที่จ่าย 15% แล้ว
นายวศิน วัฒนวรกิจกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทหลังกทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า การเปิดขายกองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 2/08 ระหว่างวันที่ 24 – 30 มกราคม 2551 ที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนพอสมควร และมียอดการจองซื้อหน่วยลงทุนประมาณ 1 พันล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่ยอดจองไม่เต็มมูลค่าโครงการเป็นเพราะนักลงทุนยังเฝ้าดูสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยอยู่ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 1.25% ในการประชุม 2 ครั้งที่ผ่านมา
โดยหลังจากนี้คาดว่านักลงทุนอาจมีการปรับการลงทุนจากตราสารหนี้นอกประเทศ เข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้นได้ เนื่องจากแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาลง ทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับน้อยลงตาม ซึ่งหลังจากนี้นักลงทุนจำเป็นที่จะต้องหันมาลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุมากขึ้นตามสถานการณ์ ส่วนอัตราดอกเบี้ยในประเทศหลังจากนี้คงจะระบุชัดเจนไม่ได้ว่าจะอยู่ในช่วงขาลงหรือไม่ แต่จากแรงกดดันจากภายนอกและ ความกังวลเรื่องค่าเงินบาทแล้ว ทำให้คาดว่าอัตราดอกเบี้ยคงจะไม่ปรับตัวขึ้นหลังจากนี้
"อัตราดอกเบี้ยในประเทศคงบอกไม่ได้ว่าจะปรับลดหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับ กนง.ว่าจะตัดสินอย่างไร แต่จากแรงกดจากภายนอก ทั้งเฟดลดดอกเบี้ย และภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นแล้ว เชื่อว่าคงไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นหลังจากนี้"นายวศินกล่าว
นายวศิน กล่าวอีกว่า กองทุนตราสารหนี้ที่บริษัทจะออกขายให้นักลงทุนหลังจากนี้จะเป็นกองทุนที่เข้าใจง่ายและไม่ซับซ้อน เนื่องจากเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่ที่ลงทุนในตราสารหนี้ล้วนต้องการผลตอบแทนที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายมากว่า การออกกองทุนประเภทสตรัคเจอร์โน๊ตที่มีการอ้างอิงผลตอบแทนกับดัชนี หรือสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ที่ผลตอบแทนไม่ค่อยแน่นอนน โดยประมาณเดือนหน้าบริษัทจะมีกองทุนตราสารหนี้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือนออกมาเพิ่มอีก เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนอในทุกๆ เดือน
“เข้าใจว่านักลงทุนที่ลงทุนในกองตราสารหนี้คงจะต้องการอะไรที่ตรง เราจึงคิดว่ากองที่ออกขายก็ไม่ควรที่จะซับซ้อน และมีผลตอบแทนที่ชัดเจน ซึ่งคงจะเป็นกองลักษณะนี้มากว่า ส่วนกองสตรัคเจอร์โน้ตคงจะไม่ออกเนื่องจากผลตอบแทนที่ได้ไม่ชัดเจน และขึ้นลงอยู่เสมอ”นายวศินกล่าว
สำหรับกองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 2/08 มีอายุโครงการประมาณ 10 - 12 เดือน และมีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หรือพันธบัตร หรือตราสารแห่งหนี้ที่กระทรวงการคลัง หรือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นผู้ออก ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝาก บัตรเงินฝาก ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตราสารแห่งหนี้ของสถาบันการเงิน และหรือพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นด้วยการทำ ธุรกรรมการซื้อตราสารแห่งหนี้ภาครัฐกับสถาบันการเงิน โดยมีสัญญาที่จะขายคืนตราสารแห่งหนี้ดังกล่าวตามวันที่กำหนดในสัญญา
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Notes) และผู้ลงทุนจะได้รับเงินจากการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติภายใน 6 เดือนแรกและอีกครั้งในวันครบกำหนดอายุกองทุน ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่หักภาษี ณ ที่จ่าย 15% แล้ว
