บลจ.อเบอร์ดีนมองหุ้นไทยยังน่าลงทุน หลังได้รัฐบาลเลือกตั้ง กระตุ้นการลงทุนและการบริโภคในประเทศเป็นปัจจัยหนุน แถมราคาหุ้นยังถูกกว่าเพื่อนบ้านอีกถึง 20-30% คาดทั้งปีนี้ บริษัทได้ผลตอบแทนจากหุ้นไทย 10-12% ส่วนภาพรวมตลาดเอเชีย มองเห็นความแข็งแกร่งมากขึ้น รับมือต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯได้ จับตาเงินเฟ้อปัจจัยเลี่ยงสำคัญ เหตุกดดันการปรับลดดอกเบี้ยตามเฟด
นางสาวรัตนวรรณ แสงกิติโกมล ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปีนี้น่าจะอยู่ในเกณฑ์ดี โดยจะได้ปัจจัยหนุนจากความเชื่อมั่นทางการเมืองที่ได้รัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งในแง่ของนโยบายเศรษฐกิจที่จะรัฐบาลใหม่จะนำมาใช้กระตุ้นการลงทุนและการบริโภคในประเทศ น่าจะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยเองยังถือว่าค่อนข้างถูกกว่าเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ในประเทศเพื่อบ้านถึง 20-30% ทำให้เชื่อว่าจะมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ ซึ่งในส่วนของอเบอร์ดีนเอง เรายังให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่ เพราะเชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว
“ถึงแม้ว่าการส่งออกปีนี้ อาจจะไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากผลกระทบการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ แต่การลงทุนภาครัฐและการบริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ น่าจะช่วยทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยออกมาดี”นางสาวรัตนวรรณกล่าว
สำหรับการลงทุนของอเบอร์ดีนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ คาดว่าจะให้ผลตอบแทนประมาณ 10-12% จากผลตอบแทน 16% ของการลงทุนทั้งปี 2550 โดยการคาดการณ์ดังกล่าวเป็นผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 7-8% และผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนอีกประมาณ 4-5% อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าผลตอบแทนทั้งปีนี้ของอเบอร์ดีนจะออกมาตามนี้ แต่การคาดการณ์ของเราค่อนข้างระมัดระวัง ซึ่งหลังจบปีผลตอบแทนอาจจะสูงกว่านี้ได้
ทั้งนี้ สาเหตุที่เราคาดการณ์ไม่สูงมากนัก เนื่องจากเรามองว่านโยบายด้านเศรษฐกิจและการลงทุนภาครัฐที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ อาจจะยังไม่เห็นผลในทันที แต่จะเห็นผลในช่วงท้ายของปีมากกว่า ประกอบกับการเติบโตรายได้ของบริษัทจดทะเบียนเองอาจจะออกมาไม่ดี เพราะทุกบริษัทยังมีต้นทุนทางด้านราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อีก 0.50% หลังจากปรับลดแบบฉุกเฉินไปแล้ว 0.75% ก่อนหน้านี้จะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดอัตราดอกเบี้ยในประเทศตามหรือไม่นั้น มองว่าเรื่องนี้คาดเดาได้ยาก เพราะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของธปท.ว่าจะพิจารณาจากปัจจัยอะไรเป็นหลัก ระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศหรือการควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งหากมองว่าระดับของเงินเฟ้อยังสามารถจัดการได้ก็อาจจะมีการปรับลดลงได้
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าธปท. คงจะพิจารณาถึงปัจจัยเรื่องของค่าเงินประกอบด้วย เพราะประเทศไทยถือเป็นประเทศส่งออก หากค่าเงินแข็งขึ้นก็อาจจะส่งผลต่อการแข่งขันกับต่างประเทศได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของธปท. ที่จะต้องทำตรงนี้ให้มีความสมดุลกัน
นางสาวรัตนวรรณ กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิกว่า โดยรวมแล้วยังถือว่าดีและแข็งแกร่งพอที่จะทนต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ เนื่องจากที่ผ่านมา กลุ่มประเทศเอเชียมีการลงทุนระหว่างภูมิภาคกันมากขึ้น ขณะเดียวกันแต่ละประเทศเองก็มีใช้จ่ายในประเทศมากขึ้น ทำให้ยังมีเงินลงทุนได้อีก ซึ่งปัจจัยนี้เองทำให้ประเทศเหล่านี้มีการพึ่งพิงการส่งออกไปสหรัฐฯ น้อยลง ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้น ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกก็ยังเป็นตลาดที่มีแวลูเอชั่นสูงอยู่ และมีการเติบโตของรายได้อยู่ในเกณฑ์ดี โดยอเบอร์ดีนประเมินว่า เศรษฐกิจของเอเชียทั้งปีนี้ จะขยายตัวได้มากกว่า 5% ทั้งนี้ ไม่รวมการขายตัวตัวทางเศรษฐกิจของจีนและอินเดีย ซึ่งมีอัตราการขยายตัวสูงกว่า 10% อยู่แล้ว
“เศรษฐกิจโดยรวมของเอเชียแข็งแกร่งขึ้น ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานของประเทศ ทำให้มีผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐค่อนข้างน้อย โดยจะได้การลงทุนและการบริโภคในประเทศเป็นตัวนำ ซึ่งเรามองว่าในระยะยาวแล้ว เอเชียยังเป็นภูมิภาคที่น่าลงทุน”นางสาวรัตนวรรณ กล่าว
อย่างไรก็ตาม มองว่าอัตราเงินเฟ้อ เป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจภูมิภาคนี้ เพราะปัจจัยเรื่องของเงินเฟ้อจะทำให้การปรับลดดอกเบี้ยของแต่ละประเทศทำได้ยากขึ้น เพราะหากลดดอกเบี้ยตามเฟด อาจจะกดดันให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ การที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคแข็งขึ้น ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้การปรับลดดอกเบี้ยตามเฟดทำได้ยาก
“ปีนี้ถือเป็นความท้าทายของธนาคารกลางแต่ละประเทศในกระกระตุ้นเศรษฐกิจและควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งต้องจัดการให้สองอย่างนี้สมดุลกัน”นางสาวรัตนวรรณ กล่าว
นางสาวรัตนวรรณ แสงกิติโกมล ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปีนี้น่าจะอยู่ในเกณฑ์ดี โดยจะได้ปัจจัยหนุนจากความเชื่อมั่นทางการเมืองที่ได้รัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งในแง่ของนโยบายเศรษฐกิจที่จะรัฐบาลใหม่จะนำมาใช้กระตุ้นการลงทุนและการบริโภคในประเทศ น่าจะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยเองยังถือว่าค่อนข้างถูกกว่าเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ในประเทศเพื่อบ้านถึง 20-30% ทำให้เชื่อว่าจะมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ ซึ่งในส่วนของอเบอร์ดีนเอง เรายังให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่ เพราะเชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว
“ถึงแม้ว่าการส่งออกปีนี้ อาจจะไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากผลกระทบการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ แต่การลงทุนภาครัฐและการบริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ น่าจะช่วยทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยออกมาดี”นางสาวรัตนวรรณกล่าว
สำหรับการลงทุนของอเบอร์ดีนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ คาดว่าจะให้ผลตอบแทนประมาณ 10-12% จากผลตอบแทน 16% ของการลงทุนทั้งปี 2550 โดยการคาดการณ์ดังกล่าวเป็นผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 7-8% และผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนอีกประมาณ 4-5% อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าผลตอบแทนทั้งปีนี้ของอเบอร์ดีนจะออกมาตามนี้ แต่การคาดการณ์ของเราค่อนข้างระมัดระวัง ซึ่งหลังจบปีผลตอบแทนอาจจะสูงกว่านี้ได้
ทั้งนี้ สาเหตุที่เราคาดการณ์ไม่สูงมากนัก เนื่องจากเรามองว่านโยบายด้านเศรษฐกิจและการลงทุนภาครัฐที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ อาจจะยังไม่เห็นผลในทันที แต่จะเห็นผลในช่วงท้ายของปีมากกว่า ประกอบกับการเติบโตรายได้ของบริษัทจดทะเบียนเองอาจจะออกมาไม่ดี เพราะทุกบริษัทยังมีต้นทุนทางด้านราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อีก 0.50% หลังจากปรับลดแบบฉุกเฉินไปแล้ว 0.75% ก่อนหน้านี้จะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดอัตราดอกเบี้ยในประเทศตามหรือไม่นั้น มองว่าเรื่องนี้คาดเดาได้ยาก เพราะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของธปท.ว่าจะพิจารณาจากปัจจัยอะไรเป็นหลัก ระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศหรือการควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งหากมองว่าระดับของเงินเฟ้อยังสามารถจัดการได้ก็อาจจะมีการปรับลดลงได้
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าธปท. คงจะพิจารณาถึงปัจจัยเรื่องของค่าเงินประกอบด้วย เพราะประเทศไทยถือเป็นประเทศส่งออก หากค่าเงินแข็งขึ้นก็อาจจะส่งผลต่อการแข่งขันกับต่างประเทศได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของธปท. ที่จะต้องทำตรงนี้ให้มีความสมดุลกัน
นางสาวรัตนวรรณ กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิกว่า โดยรวมแล้วยังถือว่าดีและแข็งแกร่งพอที่จะทนต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ เนื่องจากที่ผ่านมา กลุ่มประเทศเอเชียมีการลงทุนระหว่างภูมิภาคกันมากขึ้น ขณะเดียวกันแต่ละประเทศเองก็มีใช้จ่ายในประเทศมากขึ้น ทำให้ยังมีเงินลงทุนได้อีก ซึ่งปัจจัยนี้เองทำให้ประเทศเหล่านี้มีการพึ่งพิงการส่งออกไปสหรัฐฯ น้อยลง ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้น ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกก็ยังเป็นตลาดที่มีแวลูเอชั่นสูงอยู่ และมีการเติบโตของรายได้อยู่ในเกณฑ์ดี โดยอเบอร์ดีนประเมินว่า เศรษฐกิจของเอเชียทั้งปีนี้ จะขยายตัวได้มากกว่า 5% ทั้งนี้ ไม่รวมการขายตัวตัวทางเศรษฐกิจของจีนและอินเดีย ซึ่งมีอัตราการขยายตัวสูงกว่า 10% อยู่แล้ว
“เศรษฐกิจโดยรวมของเอเชียแข็งแกร่งขึ้น ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานของประเทศ ทำให้มีผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐค่อนข้างน้อย โดยจะได้การลงทุนและการบริโภคในประเทศเป็นตัวนำ ซึ่งเรามองว่าในระยะยาวแล้ว เอเชียยังเป็นภูมิภาคที่น่าลงทุน”นางสาวรัตนวรรณ กล่าว
อย่างไรก็ตาม มองว่าอัตราเงินเฟ้อ เป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจภูมิภาคนี้ เพราะปัจจัยเรื่องของเงินเฟ้อจะทำให้การปรับลดดอกเบี้ยของแต่ละประเทศทำได้ยากขึ้น เพราะหากลดดอกเบี้ยตามเฟด อาจจะกดดันให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ การที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคแข็งขึ้น ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้การปรับลดดอกเบี้ยตามเฟดทำได้ยาก
“ปีนี้ถือเป็นความท้าทายของธนาคารกลางแต่ละประเทศในกระกระตุ้นเศรษฐกิจและควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งต้องจัดการให้สองอย่างนี้สมดุลกัน”นางสาวรัตนวรรณ กล่าว