บลจ.ทหารไทย ปรับวิสัยทรรศน์ใหม่ ตั้งเป้า 3 ปีข้างหน้า ก้าวขึ้นเป็น "The Best" บริษัทจัดการกองทุนที่ดีที่สุด แทนกลยุทธ์ขยายเอยูเอ็ม "โชติกา" ระบุต้องเป็น "The Best" ทั้งผลการดำเนินงานและบริการ พร้อมเสริมทัพผู้จัดการกองทุน หนุนธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับวิสัยทรรศน์ของบริษัทใหม่โดยตั้งเป้าหมายระยะยาวใน 3 ปีข้างหน้า (2551-2553) ก้าวขึ้นเป็นบริษัทจัดการกองทุนที่ดีที่สุด (The Best) เพื่อให้ธุรกิจมีการเติบโตแบบยั่งยืนท่ามกลางการแข่งขันที่มีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น โดยเราตั้งเป้าที่จะเป็น The Best ใน 5 ด้าน ประกอบด้วย ผู้ลงทุนที่เป็นลูกค้า ผู้ขายหน่วยลงทุนให้เรา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่เป็นผู้กำกับดูแลเรา ผู้ถือหุ้นของบริษัท และพนักงานของบริษัท
ทั้งนี้ การเป็น The Best จะต้องมีทั้งในส่วนของผลการดำเนินงานที่ดีและบริการที่ดีซึ่งนี่คือเป้าหมายที่เราจะมุ่งไปในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้ จากช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มุ่งไปในเรื่องของการเพิ่มขนาดสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารเป็นหลัก โดยใน 3 ปีข้างหน้านี้ บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มสินทรัพย์สุทธิขึ้นประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี จากปีที่ผ่านมาบริษัทมีสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1.39 แสนล้านบาท
โดยแนวทางการดำเนินงานจะมีการปรับปรุงระบบการทำงานภายในทั้งหมด เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การเพิ่มผู้จัดการกองทุนเพื่อสอดรับกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่สร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น การเพิ่มจำนวนบุคลากรด้านไอที และ ส่วนงานลูกค้าสัมพันธ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างสะดวกรวดเร็ว โดยมีเงื่อนไขด้วยการออกบริการตามข้อเสนอแนะของลูกค้าในทุกๆเดือน รวมถึงการคิดค้นบริการใหม่ขึ้นเองในทุกไตรมาส
"เป้าหมายใน 3 ปีข้างหน้า เราจะเป็นบริษัทจัดการกองทุนที่ดีที่สุด เพื่อให้การดำเนินธุรกิจสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น โดยบริษัทได้มีแผนปฏิบัติการไปสู่เป้าหมาย โดยจะต้องวัดผลจากกลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ผู้แทนจำหน่าย พนักงาน หน่วยงานผู้กำกับดูแล และผู้ถือหุ้น"นางโชติกากล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ ให้กับนักลงทุนผ่านกองทุนที่ไปลงทุนต่างประเทศ (FIF) ซึ่งคาดว่าก่อนเดือนมีนาคมนี้ น่าจะสามารถออกกองทุนตราสารหนี้ที่ไปลงทุนในเกาหลีใต้ได้ รวมถึงการการศึกษาการไปลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ อินเดีย บราซิล รัสเซีย เป็นต้น
นางโชติกากล่าวว่า ในส่วนของกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ไปลงทุนในตราสารการเงินของสถาบันการเงินในยุโรป (ECP) หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 3.0% ทำให้ความแตกต่างของดอกเบี้ยในประเทศและต่างประเทศลดลง จนเมื่อทำการสวอปผลตอบแทนกลับมาในรูปเงินบาทแล้ว ไม่แตกกต่างกันมากอย่างมีนัยสำคัญกับการลงทุนตราสารหนี้ในประเทศไทย อาจจะไม่มีความจำเป็นต้องออก แต่เรายังจะมองหาโอกาสการลงทุนในลักษณะอื่นเข้ามาทดแทน เช่น การไปลงทุนในตราสารหนี้ของเกาหลีใต้ เป็นต้น ล่าสุด อยู่ระหว่างเปิดขายกองทุนเปิดทหารไทยพรีเมียร์ 3M7 ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ของสถาบันการเงินคุณภาพดีในต่างประเทศอายุประมาณ 3 เดือน ให้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่า 2.80% ต่อปี โดยจะเปิดขายช่วงไอพีโอถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์นี้
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการไปลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ (REITS) นั้น ทางบริษัทยังไม่เห็นโอกาสที่จะไป เพราะกองทุน REIT ในต่างประเทศให้อัตราผลตอบแทนที่ต่ำกว่าตราสารหนี้เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากราคาของกองทุน REIT ได้ปรับตัวขึ้นมาสูงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งโดยปกติกองทุน REITS ควรจะให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ แต่ในอนาคตถ้าราคาของ REIT ปรับตัวลงมามากเพียงพอ ตรงนั้นอาจจะมีโอกาสลงทุนให้กับบริษัทได้เช่นกัน
สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่ ที่ลงทุนรีสอร์ทบนเกาะยาวน้อยที่เคยวางแผนจะออกขายช่วงกลางเดือนม.ค.2551 แต่ต้องเลื่อนออกไปนั้น คาดดว่าจะเสนอขายหน่วยลงทุนได้อีกครั้งในช่วงกลางเดือนมีนาคม ซึ่งเกิดจากการที่กองทุนรอทางจังหวัดออกโฉนดให้อยู่ โดยเชื่อว่าน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือน จากตอนแรกที่ตั้งใจจะเสนอขายกลางเดือนมกราคา ในตอนนั้นกองทุนถือกรรมสิทธิ์นส.3 อยู่ แต่ทางจังหวัดมีนโยบายจะออกโฉนดให้แทนนส.3 ในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา จึงทำให้การออกกองทุนต้องชะลอออกไปและคาดว่าจะสามารถเสนอขายได้ในกลางเดือนมี.ค.2551 นี้ และยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับมาตรการ 30% แต่ประการใดที่ทำให้การเสนอขายล่าช้าออกไปในครั้งนี้
ส่วนการเพิ่มทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรทจำนวน 7,170 ล้านบาท ก็ยังทำไม่ได้ แม้ว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ยกเว้นสำหรับการเพิ่มทุน ในส่วนของผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์เดิมไม่ต้องสำรอง 30% ก็ตาม แต่หลักเกณฑ์การเพิ่มทุนที่กำหนดให้กระจายให้ผู้ถือหน่วยใหม่และผู้ถือหน่วยเดิมในสัดส่วน 50-50 และการเพิ่มทุนจะต้องไม่ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนลดลง ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องกระจายหน่วยลงทุนให้กับผู้ลงทุนใหม่ด้วยเช่นกัน ซึ่งในส่วนของผู้ลงทุนใหม่ 50% นี้ ยังคงติดเงื่อนไขสำรอง 30% อยู่ ดังนั้น แม้แบงก์ชาติจะอนุมัติให้มาเราก็ยังไม่สามารถที่จะทำการเพิ่มทุนได้ ทำให้แผนการเพิ่มทุนดังกล่าวต้องรอต่อไปก่อน
นางโชติกา กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะพัฒนาการบริหารกองทุนของตัวเองให้ก้าวขึ้นอีกระดับ เพื่อเป็นการเพิ่มผลตอบแทนให้กับกองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารโดยที่ไม่เพิ่มความเสี่ยงให้กับกองทุน หรือที่เรียกว่า “Enhance Index” ซึ่งไม่ได้ทำให้สไตล์การบริหารกองทุนของบริษัทที่เป็นแบบเชิงรับ (Passive Management) เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแต่ประการใด โดยบริษัทจะมองหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากความแตกต่างของราคาตลาดที่ไม่สมดุล (Miss Pricing)ให้เกิดประโยชน์ เช่น ความแตกต่างระหว่างดัชนี SET50 กับดัชนี SET50 Futures เป็นต้น โดยเราจะมองหาโอกาสที่เกิดขึ้นนี้ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ ทั้งที่มีในประเทศและต่างประเทศเพื่อที่จะเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนโดยที่ความเสี่ยงเท่าเดิมหรือไม่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุนแต่ประการใด
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับวิสัยทรรศน์ของบริษัทใหม่โดยตั้งเป้าหมายระยะยาวใน 3 ปีข้างหน้า (2551-2553) ก้าวขึ้นเป็นบริษัทจัดการกองทุนที่ดีที่สุด (The Best) เพื่อให้ธุรกิจมีการเติบโตแบบยั่งยืนท่ามกลางการแข่งขันที่มีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น โดยเราตั้งเป้าที่จะเป็น The Best ใน 5 ด้าน ประกอบด้วย ผู้ลงทุนที่เป็นลูกค้า ผู้ขายหน่วยลงทุนให้เรา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่เป็นผู้กำกับดูแลเรา ผู้ถือหุ้นของบริษัท และพนักงานของบริษัท
ทั้งนี้ การเป็น The Best จะต้องมีทั้งในส่วนของผลการดำเนินงานที่ดีและบริการที่ดีซึ่งนี่คือเป้าหมายที่เราจะมุ่งไปในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้ จากช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มุ่งไปในเรื่องของการเพิ่มขนาดสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารเป็นหลัก โดยใน 3 ปีข้างหน้านี้ บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มสินทรัพย์สุทธิขึ้นประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี จากปีที่ผ่านมาบริษัทมีสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1.39 แสนล้านบาท
โดยแนวทางการดำเนินงานจะมีการปรับปรุงระบบการทำงานภายในทั้งหมด เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การเพิ่มผู้จัดการกองทุนเพื่อสอดรับกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่สร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น การเพิ่มจำนวนบุคลากรด้านไอที และ ส่วนงานลูกค้าสัมพันธ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างสะดวกรวดเร็ว โดยมีเงื่อนไขด้วยการออกบริการตามข้อเสนอแนะของลูกค้าในทุกๆเดือน รวมถึงการคิดค้นบริการใหม่ขึ้นเองในทุกไตรมาส
"เป้าหมายใน 3 ปีข้างหน้า เราจะเป็นบริษัทจัดการกองทุนที่ดีที่สุด เพื่อให้การดำเนินธุรกิจสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น โดยบริษัทได้มีแผนปฏิบัติการไปสู่เป้าหมาย โดยจะต้องวัดผลจากกลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ผู้แทนจำหน่าย พนักงาน หน่วยงานผู้กำกับดูแล และผู้ถือหุ้น"นางโชติกากล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ ให้กับนักลงทุนผ่านกองทุนที่ไปลงทุนต่างประเทศ (FIF) ซึ่งคาดว่าก่อนเดือนมีนาคมนี้ น่าจะสามารถออกกองทุนตราสารหนี้ที่ไปลงทุนในเกาหลีใต้ได้ รวมถึงการการศึกษาการไปลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ อินเดีย บราซิล รัสเซีย เป็นต้น
นางโชติกากล่าวว่า ในส่วนของกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ไปลงทุนในตราสารการเงินของสถาบันการเงินในยุโรป (ECP) หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 3.0% ทำให้ความแตกต่างของดอกเบี้ยในประเทศและต่างประเทศลดลง จนเมื่อทำการสวอปผลตอบแทนกลับมาในรูปเงินบาทแล้ว ไม่แตกกต่างกันมากอย่างมีนัยสำคัญกับการลงทุนตราสารหนี้ในประเทศไทย อาจจะไม่มีความจำเป็นต้องออก แต่เรายังจะมองหาโอกาสการลงทุนในลักษณะอื่นเข้ามาทดแทน เช่น การไปลงทุนในตราสารหนี้ของเกาหลีใต้ เป็นต้น ล่าสุด อยู่ระหว่างเปิดขายกองทุนเปิดทหารไทยพรีเมียร์ 3M7 ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ของสถาบันการเงินคุณภาพดีในต่างประเทศอายุประมาณ 3 เดือน ให้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่า 2.80% ต่อปี โดยจะเปิดขายช่วงไอพีโอถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์นี้
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการไปลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ (REITS) นั้น ทางบริษัทยังไม่เห็นโอกาสที่จะไป เพราะกองทุน REIT ในต่างประเทศให้อัตราผลตอบแทนที่ต่ำกว่าตราสารหนี้เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากราคาของกองทุน REIT ได้ปรับตัวขึ้นมาสูงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งโดยปกติกองทุน REITS ควรจะให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ แต่ในอนาคตถ้าราคาของ REIT ปรับตัวลงมามากเพียงพอ ตรงนั้นอาจจะมีโอกาสลงทุนให้กับบริษัทได้เช่นกัน
สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่ ที่ลงทุนรีสอร์ทบนเกาะยาวน้อยที่เคยวางแผนจะออกขายช่วงกลางเดือนม.ค.2551 แต่ต้องเลื่อนออกไปนั้น คาดดว่าจะเสนอขายหน่วยลงทุนได้อีกครั้งในช่วงกลางเดือนมีนาคม ซึ่งเกิดจากการที่กองทุนรอทางจังหวัดออกโฉนดให้อยู่ โดยเชื่อว่าน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือน จากตอนแรกที่ตั้งใจจะเสนอขายกลางเดือนมกราคา ในตอนนั้นกองทุนถือกรรมสิทธิ์นส.3 อยู่ แต่ทางจังหวัดมีนโยบายจะออกโฉนดให้แทนนส.3 ในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา จึงทำให้การออกกองทุนต้องชะลอออกไปและคาดว่าจะสามารถเสนอขายได้ในกลางเดือนมี.ค.2551 นี้ และยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับมาตรการ 30% แต่ประการใดที่ทำให้การเสนอขายล่าช้าออกไปในครั้งนี้
ส่วนการเพิ่มทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรทจำนวน 7,170 ล้านบาท ก็ยังทำไม่ได้ แม้ว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ยกเว้นสำหรับการเพิ่มทุน ในส่วนของผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์เดิมไม่ต้องสำรอง 30% ก็ตาม แต่หลักเกณฑ์การเพิ่มทุนที่กำหนดให้กระจายให้ผู้ถือหน่วยใหม่และผู้ถือหน่วยเดิมในสัดส่วน 50-50 และการเพิ่มทุนจะต้องไม่ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนลดลง ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องกระจายหน่วยลงทุนให้กับผู้ลงทุนใหม่ด้วยเช่นกัน ซึ่งในส่วนของผู้ลงทุนใหม่ 50% นี้ ยังคงติดเงื่อนไขสำรอง 30% อยู่ ดังนั้น แม้แบงก์ชาติจะอนุมัติให้มาเราก็ยังไม่สามารถที่จะทำการเพิ่มทุนได้ ทำให้แผนการเพิ่มทุนดังกล่าวต้องรอต่อไปก่อน
นางโชติกา กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะพัฒนาการบริหารกองทุนของตัวเองให้ก้าวขึ้นอีกระดับ เพื่อเป็นการเพิ่มผลตอบแทนให้กับกองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารโดยที่ไม่เพิ่มความเสี่ยงให้กับกองทุน หรือที่เรียกว่า “Enhance Index” ซึ่งไม่ได้ทำให้สไตล์การบริหารกองทุนของบริษัทที่เป็นแบบเชิงรับ (Passive Management) เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแต่ประการใด โดยบริษัทจะมองหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากความแตกต่างของราคาตลาดที่ไม่สมดุล (Miss Pricing)ให้เกิดประโยชน์ เช่น ความแตกต่างระหว่างดัชนี SET50 กับดัชนี SET50 Futures เป็นต้น โดยเราจะมองหาโอกาสที่เกิดขึ้นนี้ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ ทั้งที่มีในประเทศและต่างประเทศเพื่อที่จะเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนโดยที่ความเสี่ยงเท่าเดิมหรือไม่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุนแต่ประการใด