บลจ.แมนูไลฟ์ ประเดิมกองทุนตราสารหนี้กองแรก คลอด"แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อินคัม" มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ลุยบอนด์ภาครัฐ-เอกชนเกรด A ขึ้นไป เปิดขาย 11-18 ก.พ.นี้ ผู้บริหารตั้งเป้าให้ลูกค้า ใช้เป็นแหล่งพักเงินหากต้องการเทคโพรฟิต หรือรอจังหวะลงทุนหนีความผันผวน ชี้อัตราดอกเบี้ยในประเทศยังนิ่งต่อถึงไตรมาส 2
นายอลัน แคม กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 11-18 กุมภาพันธ์นี้ บริษัทจะเปิดขายกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อินคัม (MS-INCOME) มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนดังกล่าวถือเป็นกองทุนตราสารหนี้กองแรกของบริษัท และสามารถซื้อขายได้ทุกวัน หลังจากก่อนหน้านี้ ได้เปิดขายกองทุนหุ้นและกองทุนต่างประเทศ (FIF) เป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนไปบ้างแล้ว
ทั้งนี้ กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อินคัม จะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง รวมทั้งตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ A ขึ้นไป เช่น หุ้นกู้ของบริษัทโตโยต้า ยูนิลีเวอร์ เป็นต้น ซึ่งการลงทุนในช่วงแรกนั้น กองทุนจะกระจายออกไปทั้งในตราสารภาครัฐและเอกชน โดยมีอายุตราสารเฉลี่ยประมาณ 5-6 เดือน
โดยจุดประสงค์หลังของการจัดตั้งกองทุนนี้ ก็เพื่อให้ลูกค้าของบริษัทใช้เป็นแหล่งพักเงินในกรณีที่ต้องการเทคโพรพิตหรือทำกำไรจากกองทุนต่างประเทศหรือกองทุนหุ้นภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท รวมทั้งเป็นแหล่งพักเงินให้ลูกค้าที่ต้องการรอจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม ไม่ผันผวนเช่นในปัจจุบัน ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้าของแมนูไลฟ์เองก็ถามถึงกองทุนประเภทนี้เป็นจำนวนมาก
"เราไม่ได้ตั้งใจออกกองทุนนี้เพื่อหาผลตอบแทนสูงๆ ให้ลูกค้า แต่เราตั้งใจให้กองทุนนี้เป็นแหล่งพักเงินลงทุนของลูกค้าที่อาจจะต้องการเทคโพรฟิตจากกองทุนต่างประเทศ หรือต้องการพักเงินรอให้ความผันผวนผ่านไปก่อน โดยที่ผ่านมาลูกค้าของเราเองก็ถามถึงกองทุนประเภทนี้ค่อนข้างมากพอสมควร ซึ่งการที่เรามีกองทุนตรสารหนี้เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้เรามีโพรดักซ์ที่มีควากหลายเป็นทางเลือกให้ลูกค้าได้อีกทางด้วย"นายอลันกล่าว
นายอลันกล่าวว่า สำหรับสาเหตุที่เราเปิดขายกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อินคัมในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ เพราะเชื่อว่าในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 2 อัตราดอกเบี้ยในประเทศเองคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากระดับปัจจุบัน ซึ่งในแง่การพิจารณาอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เอง ก็คาดเดาได้ยากว่านโยบายจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งการพิจารณาดังกล่าวจะต้องดูการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศประกอบด้วย อย่างไรก็ตาม หากธปท.ยังไม่ลดดอกเบี้ยในช่วงนี้ การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นน่าจะเหมาะสมกว่า ซึ่งการที่กองทุนมีความผันผวนต่ำ จะทำให้กองทุนมีความเสี่ยงไม่มากด้วย
ทั้งนี้ การที่ตั้งใจให้กองทุนนี้เป็นแหล่งพักเงิน จึงไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะระดมทุนได้มากนัก แต่หากลูกค้าสนใจและสามารถระดมทุนได้ประมาณ 300-400 ล้านบาทก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจแล้ว
ก่อนหน้านี้ นายอลันกล่าวถึงแผนออกกองทุนในปีนี้ว่า มีแผนจะออกกองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศประมาณ 3 กองทุน ซึ่งสินทรัพย์ที่บริษัทสนใจลงทุนมีทั้ง สินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้) พลังงาน การลงทุนแถบเอเชียแปซิฟิกในประเทศที่มองว่าเศรษฐกิจยังแข็งแรงดีอยู่ ดังนั้นการลงทุนในจีน รวมถึงประเทศอินเดียเอง บริษัทยอมรับว่าน่าสนใจที่จะลงทุนด้วยเช่นกัน แม้ที่ผ่านมาดัชนีหุ้นของประเทศเหล่านี้จะปรับขึ้นไปค่อนข้างมากแล้ว
ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างขอเพิ่มทุนโครงการกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ ไชน่า แวลู เอฟไอเอฟ กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อีกประมาณ 500 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการลงทุนที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันกองทุนดังกล่าวมีจำนวนเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากช่วงไอพีโอในช่วงเดือนมิถุนายนค่อนข้างมาก ในแง่ของผลตอบแทนเอง ในปีที่ผ่านมา กองทุนให้ผลตอบแทนได้ถึง 30% โดยกองทุนแม่ที่กองทุนเข้าไปลงทุนให้ผลตอบแทนได้ถึง 50% ในรอบปีที่แล้ว
สำหรับกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ ไชน่า แวลู เอฟไอเอฟ มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Manulife Global Fund-China Value Fund (Class A) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ส่วนที่เหลือลงทุนในตราสารหนี้ หรือเงินฝากสถาบันการเงินที่มีอายุตราสารหรือระยะเวลาฝากเงินไม่เกิน 1 ปี
นายอลันกล่าวต่อว่า ปัจจุบันสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (เอยูเอ็ม) ของบริษัทอยู่ที่ 5,200 ล้านบาท โดยมีเงินลงทุนในส่วนของกองทุนรวมประมาณ 2,500 ล้านบาทซึ่งในจำนวนนี้ เป็นกองทุนเอฟไอเอฟประมาณ 2,100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นกองทุนรวมในประเทศ โดยในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมีเอยูเอ็มรวมทั้งหมดประมาณ 7,500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยจะมาจากกองทุนต่างประเทศเป็นหลัก ขณะเดียวกัน ยังมีแผนออกกองทุนตราสารหนี้เพิ่มอีก 1 กองทุนด้วย
นายอลัน แคม กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 11-18 กุมภาพันธ์นี้ บริษัทจะเปิดขายกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อินคัม (MS-INCOME) มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนดังกล่าวถือเป็นกองทุนตราสารหนี้กองแรกของบริษัท และสามารถซื้อขายได้ทุกวัน หลังจากก่อนหน้านี้ ได้เปิดขายกองทุนหุ้นและกองทุนต่างประเทศ (FIF) เป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนไปบ้างแล้ว
ทั้งนี้ กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อินคัม จะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง รวมทั้งตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ A ขึ้นไป เช่น หุ้นกู้ของบริษัทโตโยต้า ยูนิลีเวอร์ เป็นต้น ซึ่งการลงทุนในช่วงแรกนั้น กองทุนจะกระจายออกไปทั้งในตราสารภาครัฐและเอกชน โดยมีอายุตราสารเฉลี่ยประมาณ 5-6 เดือน
โดยจุดประสงค์หลังของการจัดตั้งกองทุนนี้ ก็เพื่อให้ลูกค้าของบริษัทใช้เป็นแหล่งพักเงินในกรณีที่ต้องการเทคโพรพิตหรือทำกำไรจากกองทุนต่างประเทศหรือกองทุนหุ้นภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท รวมทั้งเป็นแหล่งพักเงินให้ลูกค้าที่ต้องการรอจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม ไม่ผันผวนเช่นในปัจจุบัน ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้าของแมนูไลฟ์เองก็ถามถึงกองทุนประเภทนี้เป็นจำนวนมาก
"เราไม่ได้ตั้งใจออกกองทุนนี้เพื่อหาผลตอบแทนสูงๆ ให้ลูกค้า แต่เราตั้งใจให้กองทุนนี้เป็นแหล่งพักเงินลงทุนของลูกค้าที่อาจจะต้องการเทคโพรฟิตจากกองทุนต่างประเทศ หรือต้องการพักเงินรอให้ความผันผวนผ่านไปก่อน โดยที่ผ่านมาลูกค้าของเราเองก็ถามถึงกองทุนประเภทนี้ค่อนข้างมากพอสมควร ซึ่งการที่เรามีกองทุนตรสารหนี้เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้เรามีโพรดักซ์ที่มีควากหลายเป็นทางเลือกให้ลูกค้าได้อีกทางด้วย"นายอลันกล่าว
นายอลันกล่าวว่า สำหรับสาเหตุที่เราเปิดขายกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อินคัมในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ เพราะเชื่อว่าในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 2 อัตราดอกเบี้ยในประเทศเองคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากระดับปัจจุบัน ซึ่งในแง่การพิจารณาอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เอง ก็คาดเดาได้ยากว่านโยบายจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งการพิจารณาดังกล่าวจะต้องดูการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศประกอบด้วย อย่างไรก็ตาม หากธปท.ยังไม่ลดดอกเบี้ยในช่วงนี้ การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นน่าจะเหมาะสมกว่า ซึ่งการที่กองทุนมีความผันผวนต่ำ จะทำให้กองทุนมีความเสี่ยงไม่มากด้วย
ทั้งนี้ การที่ตั้งใจให้กองทุนนี้เป็นแหล่งพักเงิน จึงไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะระดมทุนได้มากนัก แต่หากลูกค้าสนใจและสามารถระดมทุนได้ประมาณ 300-400 ล้านบาทก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจแล้ว
ก่อนหน้านี้ นายอลันกล่าวถึงแผนออกกองทุนในปีนี้ว่า มีแผนจะออกกองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศประมาณ 3 กองทุน ซึ่งสินทรัพย์ที่บริษัทสนใจลงทุนมีทั้ง สินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้) พลังงาน การลงทุนแถบเอเชียแปซิฟิกในประเทศที่มองว่าเศรษฐกิจยังแข็งแรงดีอยู่ ดังนั้นการลงทุนในจีน รวมถึงประเทศอินเดียเอง บริษัทยอมรับว่าน่าสนใจที่จะลงทุนด้วยเช่นกัน แม้ที่ผ่านมาดัชนีหุ้นของประเทศเหล่านี้จะปรับขึ้นไปค่อนข้างมากแล้ว
ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างขอเพิ่มทุนโครงการกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ ไชน่า แวลู เอฟไอเอฟ กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อีกประมาณ 500 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการลงทุนที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันกองทุนดังกล่าวมีจำนวนเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากช่วงไอพีโอในช่วงเดือนมิถุนายนค่อนข้างมาก ในแง่ของผลตอบแทนเอง ในปีที่ผ่านมา กองทุนให้ผลตอบแทนได้ถึง 30% โดยกองทุนแม่ที่กองทุนเข้าไปลงทุนให้ผลตอบแทนได้ถึง 50% ในรอบปีที่แล้ว
สำหรับกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ ไชน่า แวลู เอฟไอเอฟ มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Manulife Global Fund-China Value Fund (Class A) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ส่วนที่เหลือลงทุนในตราสารหนี้ หรือเงินฝากสถาบันการเงินที่มีอายุตราสารหรือระยะเวลาฝากเงินไม่เกิน 1 ปี
นายอลันกล่าวต่อว่า ปัจจุบันสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (เอยูเอ็ม) ของบริษัทอยู่ที่ 5,200 ล้านบาท โดยมีเงินลงทุนในส่วนของกองทุนรวมประมาณ 2,500 ล้านบาทซึ่งในจำนวนนี้ เป็นกองทุนเอฟไอเอฟประมาณ 2,100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นกองทุนรวมในประเทศ โดยในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมีเอยูเอ็มรวมทั้งหมดประมาณ 7,500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยจะมาจากกองทุนต่างประเทศเป็นหลัก ขณะเดียวกัน ยังมีแผนออกกองทุนตราสารหนี้เพิ่มอีก 1 กองทุนด้วย