xs
xsm
sm
md
lg

บลจ.กสิกรไทยตั้งเป้าโต 20% ผุด 22 กองใหม่ร่วม 4 หมื่นล.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.กสิกรไทยตั้งเป้าปีหนูทองโต 20% หลังคาดอุตสาหกรรมกองทุนรวมเติบโตเพิ่มขึ้นไม่มาก เหตุพระเอกปีที่แล้วอย่างบอนด์ต่างประเทศโดนพิษดอกเบี้ยลดทำยอดลงทุนหด แต่ยังเตรียมออก 22 กองทุนใหม่มูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาท พร้อมวางแผนขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นด้วยกลยุทธ์เน้นความหลากหลายของโปรดักต์ และบริการ ขณะเดียวกันคาดเศรษฐกิจโลกปีนี้โตแบบชะลอตัว แต่ไทยยังขยายตัวได้ถึงร้อย 4.5-4.6 จากการเมืองที่ชัดเจน และการลงทุนที่จะทยอยปรับตัวดีขึ้น

นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้ทางบริษัทมีเป้าหมายในการขยายฐานลูกค้า และเพิ่มยอดสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม)ให้ได้ไม่ต่ำกว่าการขยายตัวของอุตสาหกรรมกองทุนรวมทั้งหมด หรือประมาณ 20% โดยคาดว่าอุตสาหกรรมกองทุนรวมในปีนี้จะขยายตัวประมาณ 15-20% และถือเป็นการขยายตัวตามปกติ แต่คงเป็นไปได้ยากหากจะขยายตัวถึง 30% ตามที่มีการคาดการณ์เอาไว้

“การเติบโตของอุตสาหกรรมกองทุนรวมในปีที่ผ่านมาเกิดจากตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีความแตกต่างในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเมื่อปรับความเสี่ยงแล้วผลตอบแทนที่ได้รับยังสูงกว่าการลงทุนในประเทศ ทำให้นักลงทุนมีความสนใจลงทุนเพิ่มมากขึ้น แต่หลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่วนต่างที่เคยมีก็หายไป จึงคาดว่าการเติบโตของธุรกิจหลังจากจะอยู่ในช่วงปกติประมาณ 15-20%”นางวิวรรณกล่าว

สำหรับแผนการออกกองทุนของบริษัทในปีนี้จะมีการเปิดขายกองทุนรวมทั้งหมด 22 กองทุนและมีมูลค่าโครงการร่วมประมาณ 4 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงเริ่มต้นแบ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 2 กอง กองทุนต่างประเทศ 8 กอง กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 3 กอง และกองทุนหุ้น 1 กอง ซึ่งในส่วนของกองทุนต่างประเทศที่บริษัทจะออกไปลงทุนนั้นจะเป็นกองที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น กองทุนที่ลงทุนในพลังงานทางเลือกใหม่ กองทุนที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ หรือกองทุนที่ลงทุนในสินค้าเกษรตรเป็นต้น ส่วนกองทุนอสัหาริมทรัพย์นั้นบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งสินทรัพย์ที่คาดว่าจะนำเงินไปลงทุนได้แก่ เซอร์วิสอาร์พาร์ทเมนท์ ที่อยู่อาศัย รีสอร์ต และโรงแรม เป็นต้น ส่วนกองทุนหุ้นอีก 1 กองคาดว่าน่าจะลงทุนใน ETF หรือ กองทุนตลาดรอง นอกจากนี้ Energy ETF ทางบริษัทก็มีความสนใจเช่นกัน แต่ขณะนี้ต้องขึ้นอยู่กับตลาดหลักทรัพย์ว่าจะเลือกให้ใครเป็นผู้จัดทำ เพราะทางบริษัทนั้นพร้อมที่จะทำในส่วนนี้ หลังจากที่เพิ่งได้รับจดหมายให้ส่งข้อเสนอไป

นางวิวรรณ กล่าวอีกว่า การขยายฐานลูกค้าในปีนี้ทางบริษัทไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องแข่งกับผู้ประกอบการอื่นๆ หรือต้องเป็นแชมป์แต่อย่างใด เพียงแต่จะเน้นในเรื่องของสินค้าที่ดี และมีความหลากหลายเพิ่มขึ้น รวมถึงการให้บริการที่ดีแก่ลูกค้ามากกว่า ซึ่งหากในอนาคตจะมีลูกค้าเข้ามาลงทุนกับเราเพิ่มมากขึ้นจนทำให้บริษทเติบโตเป็นที่ 1 ก็ถือเป็นเรื่องดี

ขณะเดียวกัน ในปีนี้บริษัทมีนโยบายการการขยายฐานลูกค้าด้วยการเน้นการรักษาผลการดำเนินงานที่ดีภายใต้ความเเหมาะสม และการให้บริการลูกค้าด้วยการวางแผนการเงินเพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถจัดการลงทุนได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และสอดคล้องกับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ โดยจะประสานงานกับธนาคารกสิกรไทยผ่านโครงการ K-WePlan เพื่อให้ความรู้กับลูกค้ามากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมใช้การขยายฐานลูกค้าด้วยผลติภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น เช่นกองทุนที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ หรือกองทุนที่ลงทุนในสิ้นคาเกษตรเป็นต้น

ส่วนการปรับการให้บริการเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้านั้น ทางบริษัทจะมีการปรับปรุงบริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้ดี และครอบคลุมมากขึ้น พร้อมเพิ่มบริการใหม่ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการให้บริการผ่านระบบนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีที่ผ่านมาการธุรกรรมผ่านช่องทางนี้ถือว่าได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก โดยมียอดทำธุรกรรมทั้งหมด 40,598 ครั้ง คิดเป็นมูลค่าการซื้อ-ขายทั้งสิ้นรวม 7,109.29 ล้านบาท

นางวิวรรณ กล่าวอีกว่า ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาของบริษัทถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยมียอดสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นจากปี 2549 จำนวน 77,756.71 ล้านบาท เป็น 318,879.14 ล้านบาท คิดเป็นอัคตราการขยายตัวถึง 32.25% โดยในส่วนของธุรกิจกองทุนรวมบริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นได้ถึง 45.68% จากเดิม 34,493 บัญชี เป็น 50,249 บัญชี มีการเปิดขายกองทุนทั้งหมด 30 กองทุน เป็นกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 11 กองทุน กองทุนตราสารหนี้ 8 กองทุน กองทุนผสม 4 กองทุน กองทุน LTF-RMF 6 กองทุน และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 1 กองทุน ซึ่งทั้งหมดมียอดขาย 84,868.37 ล้านบาท

สำหรับมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึง 64,618.09 ล้านบาท เป็น 238,394.76 ล้านบาทคิดเป็นอัตราการขยายตัวถึง 37.18% ซึ่งถือว่ามากว่าการตอบโตของทั้งอุตสาหกรรมที่ยอดมูลค่าสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้น 388,622.92 ล้านบาท เป็น 1.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 31.08%โดยการเพิ่มขึ้นของกองทุนรวมในปีที่ผ่านมาเนื่องจากผลการดำเนินงานที่ดีของกองทุนต่างๆ โดยจากการรายงานของ Lipper ณ วันที่ 31 ธ.ค.50 กองทุนหุ้น กองทุนผสม และกองทุนตราสารหนี้ของบริษัทมักจะมีผลตอบแทนอยู่ในอันดับต้นๆ เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ เช่น 1) กองทุนเปิดเค หุ้นปันผล หรือเคแวลูร์ มีผลการดำเนินงานเป็นอันดับที่ 1 จาก 223 กองทุน 2) กองทุนเคหุ้นทุนบริพัตรเพื่อการเลี้ยงชีพมีผลตอบแทนอันดับ1 จาก 60 กองทุน 3)กองทุนเปิดรวงข้าวดุลยทรัพย์ ซึ่งเป็นกองทุนผสม มีผลการดำเนินงานอยู่ในอันดับที่ 1 จาก 15 กองทุน และสุดท้ายกองทุนเปิดรวงข้าวคืนกำไร ที่ลงทุนในตราสารหนี้มีผลการดำเนินงานเป็นอันดีที่ 1 จาก 159 กองทุน

ด้าน นางสาวปราณี เกียรติชัยพิพัฒน์ ทีมวิจัยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2551 ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวแบชะลอตัว ท่ามกลางความเสี่ยงจากปัญหาซับไพรม์และราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัว และมีความเสี่ยงจะเกิดภาวะถดถอยมากขึ้น และจะกระทบต่อผู้ที่ส่งออกไปตลาดสหรัฐ โดยการที่เฟดลดดอกเบี้ยถึง 1.25% ภายใน 10 วันรวมถึงมาตรการการคลังถึงแม้จะช่วยบรรเทาปัญหาได้บ้าง แต่คาดว่าจะเห็นผลชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้มีการลดสินทรัพย์ที่มีความเกี่ยวข้องกับสกุลเงินดอลลาร์ลงเนื่องจากมีการปรับตัวอ่อนค่าลง ส่วนในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียนั้นคาดว่าจะยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและสูงกว่าภูมิภาคอื่น โดยจีนจะมีการบริโภคที่แข็งแกร่งเป็นตัวหนุนการเติบโต แต่ปัญหาเงินเฟ้อก็จะยังส่งผลอยู่ทำให้อาจมีการปรับในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยได้ ส่วนเศรษฐกิจไทยน่าจะยังมีการขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 4.5-4.6 เนื่องจากการเมืองที่ชัดเจน ขณะที่การลงทุนที่ค้างคาต่างๆ จะทยอยปรับตัวดีขึ้น หากปัญหาต่างๆ มีการคลี่คลายได้

โดยอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศคาดว่าน่าจะอยู่ในระดับต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศต่อไป อย่างไรก็ตามค่าเงินบาทอาจแข็งค่าถึง 32-33 บาทต่อดอลลาร์ได้ในสิ้นปีนี้ จากแรงกดดันของการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้นกว่าการส่งออก และเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น