xs
xsm
sm
md
lg

ทหารไทยลดค่าใช้จ่ายกองทองคำ รับเงินบาทแข็งฉุดยิวด์กองทุนฮวบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.ทหารไทยหั่นค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์กองทุนโกลด์ ฟันด์จาก 0.50% เหลือ 0.30% หลังกองทุนในสังกัดเพิ่มจนสามารถเพิ่มต่อรองโบรกเกอร์ต่างชาติได้ ผู้จัดการกองทุนชี้สาเหตุที่ผลตอบแทนทรุดต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เพราะค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ยันถ้าไม่คิดผลจากค่าเงินกองทุนมีสิทธิ์ให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่ก่อตั้งถึง 80%

รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด ระบุว่า บริษัทจะทำการปรับลดค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เรียกเก็บจากผู้ถือหน่วยลงทุน เมื่อมีการสั่งซื้อขายหรือสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ ฟันด์ (TMB Gold) ซึ่งระบุในโครงการไม่เกิน 0.75% ของมูลค่าหน่วยลงทุน จากอัตราในปัจจุบันที่เรียกเก็บจริงเข้ากองทุน 0.50% เป็นอัตรา 0.30% ทั้งนี้จะมีผลสำหรับรายการซื้อขายหรือสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 มกราคม 2551 กองทุนทหารไทย โกลด์ ฟันด์ มีมูลค่าทรัพบ์สินสุทธิ 914.08 ล้านบาท มูลค่าหน่วยลงทุน 14.4975 บาท ให้ผลตอบแทนน้อยหลัง 3 เดือน 15.53% จากเกณฑ์มาตราฐานดัชนีราคาทองคำในตลาด New York (สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ) ที่ 18.83% , ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน 36.90% จากเกณฑ์มาตราฐาน 40.56% , ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 31.75% จากเกณฑ์มาตราฐาน 43.58% และให้ผลตอบแทนตั้งแต่กองตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2548 ที่ 44.98% จากเกณฑ์มาตราฐาน 84.44%

นายกัมพล จันทร์วิบูลย์ ผู้จัดการกองทุน บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า สาเหตุที่บริษัทสามารถปรับลดค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เรียกเก็บจากผู้ถือหน่วยลงทุน จากปัจจุบันที่เก็บในอัตรา 0.50% เป็น 0.30% เนื่องมาจากปัจจุบันบริษัทมีกองทุนในการบริหารจัดการจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทำให้สามารถต่อรองกับโบรกเกอร์ต่างประเทศให้ปรับลดค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย

ส่วนผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนดังกล่าวที่ปรับตัวลดลงต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานนั้น เป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เมื่อคำนวนผลตอบแทนออกมาในรูปสกุลเงินบาทแล้วผลตอบแทนที่ควรจะได้รับปรับตัวลดลง โดยปัจจุบันกองทุนขาดทุนจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นประมาณ 3% และถ้าไม่คำนวนการขาดทุนจากค่าเงินบาทเชื่อว่ากองทุนจะสามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ก่อตั้งถึง 80%

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะส่งผลทำให้ผลตอบแทนของกองทุนทหารไทย โกลด์ ฟันด์ปรับตัวลดลงบ้าง แต่ยังเชื่อมั่นว่าแนวโน้มในระยะยาวราคาทองคำในตลาดโลกน่าจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ก่อนหน้านี้นายกัมพล กล่าวถึงแนวโน้มราคาทองคำในปีนี้ว่า สำนักวิจัยหลายแห่งยังมองว่าจะยังอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 880-900 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ โดยปัจจัยที่จะหนุนให้ราคาปรับขึ้น ดังกล่าว มองว่ามาจาก 2 ปัจจัยหลักนั่นคือแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและอัตราเงินเฟ้อ

"ปัจจุบันกองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ ฟันด์ มีจำนวนเงินลงทุนอยู่ประมาณ 1,000 ล้านบาทซึ่งก่อนหน้านี้เองเคยมีเงินลงทุนสูงถึง 1,300 ล้านบาทแต่มีนักลงทุนบางส่วนขายทำกำไรออกไป อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำเองนักลงทุนต้องรับความเสี่ยงได้ เพราะราคาทองคำมีขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งใครที่ต้องการลงทุนในทองคำแนะนำให้ลงทุนไม่เกิน 5-10% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด เพราะถือว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงเช่นกัน" นายกัมพลกล่าว

สำหรับกองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ ฟันด์ นั้นเป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุน (Feeder Fund) ที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Fund) ไม่กำหนดอายุโครงการ ขณะที่กองทุนจะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์หรือหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศที่มีวัตุประสงค์และและนโยบายตรงตามวัตถุประสงค์ของกองทุน เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำให้มากที่สุด

กลยุทธ์การลงทุนของกองทุนจะใช้นโยบายในการบริหารเชิงรับ (Passive Investment Strategy) โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Streettracks Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน Exchange Traded จดทะเบียนใน NYSE ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในทองคำแท่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจัดการทั้งหมดของกองทุน

ทั้งนี้กองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ ฟันด์ จะลงทุนในกองทุน Streettracks Gold Trust เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือบริษัทจัดการจะลงทุนในเงินฝาก ตราสารแห่งหนี้ในประเทศที่มีอายุสัญญา หรืออายุของตราสารต่ำกว่า 1 ปี โดยวัตถุประสงค์สำรองไว้ หรือ รอการลงทุน เพื่อสภาพคล่อง และบริษัทจัดการจะลงทุนในเงินฝากต่างประเทศ ทั้งในรูปเงินบาทและเงินตราต่างประเทศ รวมทั้งในหลักทรัพยืและทรัพย์สินอื่นๆ หรือการหาดอกผลโดยวิธีตามที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประกาศกำหนด

กองทุนอาจจะเข้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ตามที่ก.ล.ต.ประกาศกำหนดหรือให้ความเห็นชอบ รวมทั้งอาจะทำธุรกรรมการให้ยืมหลักทรัพย์ หรือ ธุรกรรมการให้ยืมหลักทรัพย์ หรือธุรกรรมการซื้อโดยมีสัญญาขายคืน (Reverse Repo) โดยเป็นตามที่หลักเกณฑ์ที่ก.ล.ต.กำหนด
กำลังโหลดความคิดเห็น