ASTVผู้จัดการรายวัน-บลจ.ทิสโก้คาด"กองออยล์ฟันด์"เริ่มลุยลงทุนได้ 25 มีนาคมนี้ หลังปิดยอดไอพีโอได้เกือบ 100 ล้านบาท พร้อมเตรียมเปิดขายอีกครั้ง 30 มีนาคมนี้ ระบุราคาน้ำมันโลกสิ้นปีน่าจะอยู่ในระดับ 60-65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลได้ หลังนักวิเคราะห์หลายสำนักมีความเห็นในทิศทางเดียวกัน ขณะเดียวกันเผย การเปิดขายกองทุนของบริษัทหลังจากนี้จะยังอยู่ในแผนเดิม มั่นใจบริษัทมีสินค้ารองรับให้นักลงทุนได้ในทุกระดับความเสี่ยงแน่นอน
นางสาวธีรินทร์ สุวรรณเตมีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด-ธุรกิจกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดขาย“กองทุนเปิด ทิสโก้ ออยล์ ฟันด์”ในช่วงที่ผ่านมาระหว่างวันที่ 2-20 มีนาคม พบว่านักลงทุนให้การตอบรับอยู่ในระดับค่อนข้างดี โดยมียอดการลงทุนกว่า 93 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถนำเงินไปลงทุนได้ประมาณวันพุธที่ 25 มีนาคมนี้หลังจากทำการจดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว
สำหรับนโยบายของกองทุนเปิด ทิสโก้ ออยล์ ฟันด์ จะเป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนที่ลงทุนในกองทุนต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) โดยมีกองทุนหลักคือ PowerShares DB Oil Fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund) ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา (New York Stock Exchange, NYSE) ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Deutsche Bank Liquid Commodity Index - Optimum Yield Crude Oil Excess Return
อย่างไรก็ตาม การลงทุนหลังจากนี้ผู้จัดการกองทุนจะเป็นผู้ดูแลว่าจังหวะไหนจะเหมาะสมมากที่สุด ซึ่งจะต้องดูตามสถานการณ์อีกครั้ง และอาจจะลงทุนเลยหลังการจดทะเบียนประมาณวันอังคารเลยได้เช่นกัน
นางสาวธีรินทร์ กล่าวอีกว่า ราคาน้ำมันปัจจุบันที่อยู่ที่ประมาณ 50 กว่าดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลนั้น น่าจะไม่ยังสูงมากนัก เพราะนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ยังมองว่าราคาน้ำมันในปีนี้น่าจะปรับตัวอยู่ในระดับ 65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลได้ โดยถึงแม้การประชุมครั้งล่าสุดของกลุ่มประเทศโอเปคเองจะปริมาณการผลิตไว้ในระดับเดิมก็ตาม
"มันมีหลายสำนัก แต่เขาก็วิเคราะห์กันว่าส่วนใหญ่ในปลายปีนี้ราคามันจะอยู่ที่ 60-65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่บางสำนักเขาก็มองสูงไปในระดับ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลก็มีแล้วแต่ ซึ่งหลังจากก็มีความเป็นไปได้เช่นกันว่าโอเปคเองอาจจะลดกำลังการผลิตได้เหมือนกัน"นางสาวธีรินทร์กล่าว
นางสาวธีรินทร์ กล่าวเสริมอีกว่า การเปิดขายกองทุนของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แต่การขยายตัวของสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(เอยูเอ็ม) ของบริษัทยังไม่เติบโตมากนัก เนื่องจากมีกองทุนทยอยครบกำหนดอายุโครงการไปบ้างเช่นกัน อย่างไรก็ตามเสียงตอบรับของนักลงทุนสำหรับกองครบอายุถือว่าดีเช่นกัน เพราะกองทุนเช่นไชน่าลิ้งค์ 2 มีผลตอบแทนให้นักลงทุนดีมาก และยังเป็นกองที่คุ้มครองเงินต้นอีกด้วย
ทั้งนี้ สำหรับแผนการเปิดขายกองทุนของบริษัทในครั้งแรกของปีนี้จะยังคงกลยุทธ์เดิมเอาไว้ และเชื่อว่าสินค้าที่เรานำออกมาเสนอให้กับนักลงทุนน่าจะรองรับความต้องการได้ครอบคลุมในทุกความเสี่ยงแล้ว โดยที่ผ่านมานักลงทุนส่วนใหญ่ก็มีความสามารถในการับความเสี่ยงต่างกันอยู่แล้ว
“ความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้มันต่างกัน บ้างคนค่อนข้างกลัวก็จะลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งเราก็มีให้อยู่แล้ว แต่บางคนมองว่าหุ้นลงมามากดาวน์ไชด์เหลือน้อยก็จะเข้าลงทุนในหุ้น ที่ผ่านมากองครบอายุนักลงทุนบางคนก็สวิสเงินมาอยู่ในกองอื่นของเราเลย เช่นกองตราสารหนี้ระยะสั้นที่เป็นพันธบัตรรัฐบาลล้วนก็มีเยอะเหมือนกัน”นางสาวธีรินทร์กล่าว