xs
xsm
sm
md
lg

ทหารไทยโกลด์ฟันด์ขึ้นแท่นเบอร์1 อานิสงส์ราคาทองพุ่งดันผลตอบแทนปีหมู24.61%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อินไซด์กองทุนต่างประเทศปีหมูไฟ "ทหารไทย โกลด์ ฟันด์" เบียดคว้าแชมป์ผลตอบแทนอันดับ 1 ด้วยรีเทิร์น 24.61% หลังอานิสงส์ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งแตะ 840 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ช่วยดัน ด้านผู้จัดการกองทุน มองราคาเฉลี่ยทั้งปีนี้อยู่ที่ 880-900 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ แนะลงทุนได้แต่ต้องรับความเสี่ยงการขึ้นลงของทองคำได้ด้วย

รายงานข่าวเปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) ในช่วงปี 2550 ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งมาจากความเข้าใจของผู้ลงทุนต่อกองทุนประเภทนี้มีมากขึ้นกว่าในช่วงแรก ประกอบกับได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการจัดสรรวงเงินออกไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในส่วนของบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) เอง ก็พยายามสรรหากองทุนที่มีความหลากหลายออกมาเป็นทางเลือกให้่กับผู้ลงทุนเช่นกัน

โดยรายงานจำนวนเงินลงทุนในกองทุนต่างประเทศ (FIF) ปี 2550 ของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน พบว่า ขยายตัวอย่างกล้าวกระโดด จากจำนวนเงินรวม 28,880.75 ล้านบาทในเดือนธันวาคม 2549 เป็น 209,274.05 ล้านบาทในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นเงินลงทุนใหม่ประมาณ 180,393.30 ล้านบาทหรือคิดเป็นการเติบโตในอัตรา 624.61% ทั้งนี้ จากการขยายตัวดังกล่าว คาดการณ์ว่าจะต่อเนื่องมาถึงปีนี้ เพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยในประเทศเองยังไม่มีสัญญาณการปรับขึ้นแต่อย่างใด ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นเองก็เป็นทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงอีกช่องทาง

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าภาพรวมการลงทุนในต่างประเทศจะได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) แต่ผลการดำเนินงานของกองทุนเอฟไอเอฟหลายกองทุนก็ออกมาค่อนข้างดี ล่าสุดจากการรายงานกองทุนเอฟไอเอฟที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด 10 อันดับแรกในรอบปี 2550 จากลิปเปอร์ พบว่า กองทุนที่ให้ผลตอบแทนเป็นอันดับ 1 คือ กองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ ฟันด์ ภายใต้การบริหารจัดการของบลจ. ทหารไทย โดยกองทุนให้ผลตอบแทนทั้งปี 2550 อยู่ที่ 24.61%

อันดับ 2 กองทุนเปิดวรรณเอเอ็ม โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต เอควิตี้ ของบลจ.วรรณ ให้ผลตอบแทน 22.70% อันดับ 3 กองทุนเปิดอเบอร์ดีน เอเชีย แปซิฟิค เอคควิตี้ ของบลจ.อเบอร์ดีน ที่ให้ผลตอบแทน 21.49% อันดับ 4 กองทุนเปิดธนชาตอินฟราสตรัคเจอร์ แอนด์ แน็ชเชอรัล รีซอร์ส ฟันด์ ออฟ ฟันด์ ของบลจ.ธนชาต ให้ผลตอบแทน 14.42%

อันดับ 5 กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล สมาร์ท ฟันด์ ของบลจ.เอ็มเอฟซี ให้ผลตอบแทน 11.95% อันดับ 6 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ แพลทตินัม โกลบอล ฟันด์ ของบลจ.ไทยพาณิชย์ ให้ผลตอบแทน 8.78% อันดับ 7 กองทุนเปิดอยุธยา โกลบอล คอนเวอร์ติเบิล บอนด์ ของบลจ.อยุธยา ให้ผลตอบแทน 8.70%

อันดับ 8 กองทุนเปิดรวงข้าวโกลบัล บาลานซ์ ของบลจ.กสิกรไทย ให้ผลตอบแทน 7.78% อันดับ 9 กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย ออล เอเชีย อีควิตี้ ของบลจ.ไอเอ็นจี ให้ผลตอบแทน 7.23% และอันดับ 10 กองทุนเปิด เอ็มเอฟซี โกลบอล อัลฟ่า ฟันด์ ของบลจ.เอ็มเอฟซี ที่ให้ผลตอบแทนรอบปี 2550 อยู่ที่ 7.22%

นายกัมพล จันทร์วิบูลย์ ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า จริงๆ แล้วผลตอบแทนของกองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ ฟันด์ ผันแปรไปตามการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำในตลาดโลก ซึ่งในช่วงปี 2550 ที่ผ่านมา ราคาทองคำเองปรับขึ้นค่อนข้างมากจากระดับ 630 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ในช่วงต้นปี มาอยู่ที่ระดับ 840 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์หลังจบปีที่แล้ว ซึ่งการปรับขึ้นดังกล่าวส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนทหารไทย โกลด์ ฟันด์ออกมาค่อนข้างดี

ทั้งนี้ ราคาทองคำที่ระดับ 800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์นั้น ปรับขึ้นมาก่อนเกิดปัญหาซับไพรม์ เพราะมีปัจจัยจากความไม่แน่นอนของโลกหลายอย่าง แต่หลังจากปัญหาซับไพรม์ลุกลามทำให้มีการเทขายทองคำออกมาเป็นจำนวนมาก จนราคาปรับลดลงไปอยู่ที่ระดับ 700 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ก่อนจะปรับขึ้นมาที่ระดับกว่า 800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์อีกครั้ง จากสภาพคล่องที่อัดฉีดเข้าระบบจนล้นตลาด ซึ่งทำให้นักลงทุนหันไปถือทองคำมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มราคาทองคำในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปรับขึ้นมาค่อนข้างเยอะ ซึ่งในช่วงเริ่มต้นลงทุนของเองราคาทองคำในตลาดโลกอยู่ที่ระดับ 500 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์เท่านั้น โดยสาเหตุที่ทำให้ราคาปรับขึ้นมาดังกล่าวมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นราคาม้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นซึ่งดันอัตราเงินเฟ้อเปรับขึ้นตามไปด้วย แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพด้วย ซึ่งจากสภาวะดังกล่าว ส่งผลให้ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้) ปรับตัวสูงขึ้น

นายกัมพลกล่าวว่า สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในปีนี้ สำนักวิจัยหลายแห่งยังมองว่าจะยังอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 880-900 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ โดยปัจจัยที่จะหนุนให้ราคาปรับขึ้นดังกล่าว มองว่ามาจาก 2 ปัจจัยหลัก นั่นคือ แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและอัตราเงินเฟ้อ

โดยในส่วนของค่าเงินดอลลาร์เอง คนที่ถือทองคำเอาไว้ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่แล้วมองว่าแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลงไปอีก ขณะที่ทิศทางของอัตราเงินเฟ้อ หลายคนมองว่าปีนี้ระบบการเงินของโลกจะเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ เพราะที่ผ่านมาราคาน้ำมันปรับขึ้นไปค่อนข้างเยอะ ซึ่งจากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้นักลงทุนพยายามมองหาการลงทุนที่สามารถป้องกันเงินเฟ้อได้ และทองคำเองก็เป็นการลงทุนที่มีแวลูอยู่แล้ว ดังนั้น การลงทุนที่เพิ่มขึ้นจึงน่าจะดันราคาทองคำในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นไปอีก

"ปัจจุบันกองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ ฟันด์ มีจำนวนเงินลงทุนอยู่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้เองเคยมีเงินลงทุนสูงถึง 1,300 ล้านบาทแต่มีนักลงทุนบางส่วนขายทำกำไรออกไป อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำเอง นักลงทุนต้องรับความเสี่ยงได้ เพราะราคาทองคำเองมีขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งใครที่ต้องการลงทุนในทองคำแนะนำให้ลงทุนไม่เกิน 5-10% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด เพราะถือว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงเช่นกัน"นายกัมพลกล่าว

สำหรับกองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ ฟันด์ ใช้กลยุทธ์การบริหารเชิงรับ (Passive Investment Strategy) โดยกองทุนจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนStreettracks Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในทองคำแท่ง (Gold Bullion) โดยเฉลี่ยในรอบบัญชี ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวจัดตั้งและจัดการโดย World Gold Trust Services, LLC ที่ถือหุ้นโดย World Gold Council(WGC) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ที่จัดตั้งขึ้น ตามกฎหมายของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และมี State Street Global Market LLC เป็น Marketing Agent นอกจากนี้ กองทุนดังกล่าวได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange, NYSE)
กำลังโหลดความคิดเห็น