บลจ.นครหลวงไทย เตรียมออกกองทุนเพิ่มในไตรมาส1 อีก 2 กองทุน กองแรกลงทุนตราสารหนี้ช่วงปลายเดือนนี้ ขณะที่กอง 2 รอก.ล.ต.ไฟเขียวเอฟไอเอฟ หวังประเดิมขายได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนมาตรการกันสำรอง 30% เชื่อรัฐบาลใหม่ให้ความชัดเจนภายในก.พ.เช่นกัน ระบุผลดำเนินงานปีเาเป็นไปตามเป้า
นายนที ดำรงค์กิจการ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการกองทุนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทยจำกัด กล่าวถึงแผนการดำเนินงานในช่วงต้นปี 2551 ว่า ภายในไตรมาส 1 นี้ บริษัทมีแผนที่จะตั้งกองทุนใหม่มานำเสนอผู้ลงทุนอีกประมาณ 1-2 กอง โดยกองแรกจะเป็นกองทุนประเภทตราสารหนี้แบบโรลโอเวอร์ ซึ่งจะทำการเสนอขายในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ ซึ่งจะเน้นลงทุนตราสารหนี้ในประเทศเพิ่มขึ้น หลังอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ในต่างประเทศมีแนวโน้มปรับตัวลดลง
ขณะเดียวกัน ช่วงกลางกุมภาพันธ์นี้ บริษัทอาจจะเสนอขายกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) อีก 1กอง เป็นกองทุนตราสารหนี้ หรือลงทุนในหุ้นในต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาจากสำนักงานคณะการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ส่วนผลดำเนินงานในปีที่ผ่านมา นายนที กล่าวว่า ในส่วนของบริษัทอยู่ในระดับที่พอใจ เพราะมีการเติบโตมาจาก 2 ด้าน ได้แก่ การเติบโตจากธุรกิจที่ดำเนินงานมาในปี 2550 ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตตามที่คาดหมายเอาไว้ ขณะเดียวกันจากการได้ผู้ร่วมทุนรายใหม่ นั่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)ทำให้บริษัทได้รับโอนทรัพย์สินบางส่ววนมาจากบริษัทจัดการลงทุนรายอื่น ซึ่งทำให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) ของบริษัทขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งในภาพรวมแล้วถือว่าอยู่ในระดับที่ดี
สำหรับสถานการณ์การลงทุนในหุ้น นั้น ผู้ช่วยกรรมการ บลจ.นครหลวงไทย กล่าวว่า ในช่วงนี้ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีความผันผวนกันไปทั่วโลก เพราะหลายฝ่ายประเมินว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะแย่ลงจากปัญหาซับไพรม์ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นการลงทุนในประเทศ และการลงทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (อีเมือร์จิ้ง มาร์เก็ต)จะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุน
ขณะเดียวกัน ในส่วนของการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ที่เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา มีหลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกนั้น นายนที ก่าวว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ที่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ โดยตอนนี้แกนนำจัดตั้งรัฐบาลคือ พรรคพลังประชาชน ซึ่งในช่วงหาเสียงพรรคได้ชูนโยบายว่าจะทำการยกเลิกนั้นมาตราการดังกล่าวนั้น เชื่อว่าหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว เรื่องนี้จะถูกยกมาพูดถึง หรือเริ่มมีความชักเจนมากขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์นี้
ล่าสุดในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา บลจ.นครหลวงไทย ได้เปิดขายกองทุนเปิดแมกซ์ตราสารหนี้ 3/1 ซึ่งเป็นกองทุนประเภทโรลโอเวอร์ เมื่อวันที่ 14 –16 มกราคมที่ผ่านมา โดยกองทุนดังกล่าวเป็น กองทุนเปิดเพื่อผู้ลงทุนทั่วไปประเภทกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ โดยบริษัทจัดการหรือผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนจะเปิดขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนในทุกๆ รอบระยะเวลา 3 เดือนโดยประมาณ และไม่กำหนดอายุโครงการ ซึ่งได้รับอนุมัติให้จัดตั้ง/จัดการกองทุนรวม วันที่ 29 สิงหาคม 2550
โดย สรุปการลงทุนกองทุนเปิดแมกซ์ตราสารหนี้3/1 ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2550 พบว่า กองทุนได้เข้าลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไทยและตราสารหนี้ภาครัฐต่างประเทศ จำนวน 241,219,601.05 บาท หรือคิดเป็น 11.85%ของ มูลค่าสินทรัพย์กองทุน (NAV) อีกทั้งเข้าลงทุนในตราสารที่ธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น รวมทั้งธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเงินทุน เป็นผู้ออก ผู้สั่งจ่าย ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล ผู้สลักหลัง หรือผู้ค้ำประกัน จำนวน 100,938,851.40 บาท หรือ 4.96%ของNAV นอกจากนี้ กองทุนยังเข้าลงทุนกลุ่มตราสารที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ จำนวน 1,682,167,962.77 บาท คิดเป็นสัดส่วน 82.64%
นายนที ดำรงค์กิจการ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการกองทุนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทยจำกัด กล่าวถึงแผนการดำเนินงานในช่วงต้นปี 2551 ว่า ภายในไตรมาส 1 นี้ บริษัทมีแผนที่จะตั้งกองทุนใหม่มานำเสนอผู้ลงทุนอีกประมาณ 1-2 กอง โดยกองแรกจะเป็นกองทุนประเภทตราสารหนี้แบบโรลโอเวอร์ ซึ่งจะทำการเสนอขายในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ ซึ่งจะเน้นลงทุนตราสารหนี้ในประเทศเพิ่มขึ้น หลังอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ในต่างประเทศมีแนวโน้มปรับตัวลดลง
ขณะเดียวกัน ช่วงกลางกุมภาพันธ์นี้ บริษัทอาจจะเสนอขายกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) อีก 1กอง เป็นกองทุนตราสารหนี้ หรือลงทุนในหุ้นในต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาจากสำนักงานคณะการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ส่วนผลดำเนินงานในปีที่ผ่านมา นายนที กล่าวว่า ในส่วนของบริษัทอยู่ในระดับที่พอใจ เพราะมีการเติบโตมาจาก 2 ด้าน ได้แก่ การเติบโตจากธุรกิจที่ดำเนินงานมาในปี 2550 ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตตามที่คาดหมายเอาไว้ ขณะเดียวกันจากการได้ผู้ร่วมทุนรายใหม่ นั่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)ทำให้บริษัทได้รับโอนทรัพย์สินบางส่ววนมาจากบริษัทจัดการลงทุนรายอื่น ซึ่งทำให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) ของบริษัทขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งในภาพรวมแล้วถือว่าอยู่ในระดับที่ดี
สำหรับสถานการณ์การลงทุนในหุ้น นั้น ผู้ช่วยกรรมการ บลจ.นครหลวงไทย กล่าวว่า ในช่วงนี้ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีความผันผวนกันไปทั่วโลก เพราะหลายฝ่ายประเมินว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะแย่ลงจากปัญหาซับไพรม์ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นการลงทุนในประเทศ และการลงทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (อีเมือร์จิ้ง มาร์เก็ต)จะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุน
ขณะเดียวกัน ในส่วนของการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ที่เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา มีหลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกนั้น นายนที ก่าวว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ที่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ โดยตอนนี้แกนนำจัดตั้งรัฐบาลคือ พรรคพลังประชาชน ซึ่งในช่วงหาเสียงพรรคได้ชูนโยบายว่าจะทำการยกเลิกนั้นมาตราการดังกล่าวนั้น เชื่อว่าหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว เรื่องนี้จะถูกยกมาพูดถึง หรือเริ่มมีความชักเจนมากขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์นี้
ล่าสุดในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา บลจ.นครหลวงไทย ได้เปิดขายกองทุนเปิดแมกซ์ตราสารหนี้ 3/1 ซึ่งเป็นกองทุนประเภทโรลโอเวอร์ เมื่อวันที่ 14 –16 มกราคมที่ผ่านมา โดยกองทุนดังกล่าวเป็น กองทุนเปิดเพื่อผู้ลงทุนทั่วไปประเภทกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ โดยบริษัทจัดการหรือผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนจะเปิดขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนในทุกๆ รอบระยะเวลา 3 เดือนโดยประมาณ และไม่กำหนดอายุโครงการ ซึ่งได้รับอนุมัติให้จัดตั้ง/จัดการกองทุนรวม วันที่ 29 สิงหาคม 2550
โดย สรุปการลงทุนกองทุนเปิดแมกซ์ตราสารหนี้3/1 ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2550 พบว่า กองทุนได้เข้าลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไทยและตราสารหนี้ภาครัฐต่างประเทศ จำนวน 241,219,601.05 บาท หรือคิดเป็น 11.85%ของ มูลค่าสินทรัพย์กองทุน (NAV) อีกทั้งเข้าลงทุนในตราสารที่ธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น รวมทั้งธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเงินทุน เป็นผู้ออก ผู้สั่งจ่าย ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล ผู้สลักหลัง หรือผู้ค้ำประกัน จำนวน 100,938,851.40 บาท หรือ 4.96%ของNAV นอกจากนี้ กองทุนยังเข้าลงทุนกลุ่มตราสารที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ จำนวน 1,682,167,962.77 บาท คิดเป็นสัดส่วน 82.64%
