แอสเซทพลัสชี้อัตราดอกเบี้ยไทยต้นปีทรงตัวก่อนปรับขึ้นในช่วงหลังไตรมาส 2 ระบุการเมือง และการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญ ขณะเดียวกันเตรียมออกกองทุนเอฟไอเอฟใหม่รับปีชวดลุยพันธบัตรต่างประเทศเรตติ้งดีผลตอบแทนสูง เล็งประเทศ นิวซีแลนด์ และ เกาหลี เป็นตัวเลือกเบื้องต้น ล่าสุดเปิดขายและรับซื้อคืนกองทุนตราสารหนี้ที่ครบรอบการลงทุน 3 เดือน และ 6 เดือน รวม 3 กองภายในเดือนมกราคม พร้อมออกกองใหม่FIF-FIXED 3M10 ประเดิมขายวันนี้ (16ม.ค.)
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า จากนี้บริษัทจะไม่ออกกองทุนระยะสั้นแบบโลว์โอเวอร์อีก เนื่องจากมีกองลักษณะนี้ตอบสนองลูกค้าในทุกเดือนอยู่แล้ว แต่บริษัทได้เตรียมที่จะออกกองทุนใหม่ที่เข้าไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศแทน และขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าจะเข้าลงทุนในประเทศใด ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 2 ประเทศที่มีความเหมาะสมจะเข้าไปลงทุน ทั้งในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่สูง และระดับเรตติ้งที่ดี คือประเทศเกาหลี และประเทศนิวซีแลนด์ โดยผลตอบแทนที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5-6%
สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศ บริษัทประเมินว่าจะยังทรงตัวในระดับนี้ไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยหนุนในเรื่องของการลงทุนภายในประเทศมากนัก อีกทั้งเศรษฐกิจของไทยยังถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวอยู่ในขณะนี้ โดยอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐเองมีส่วนในการทรงตัวของอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ซึ่งคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมครั้งหน้าเพื่อแก้ปัญหาซับไพร์มที่ยังไม่คลี่คลายดีนักทำให้ในการประชุมของคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพรุ่งนี้ (16ม.ค.)คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมอยู่
อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาสที่ 2 จนถึงช่วงปลายปีของปีนี้อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศอาจมีการปรับตัวขึ้นได้อีกเล็กน้อย โดยมีปัจจัยหนุนจากการเมือง และนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ในการกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ แต่จะไม่ขึ้นในระดับที่สูงมากนัก ส่วนนักลงทุนที่ต้องการจะลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลตอบแทนอยู่ในระดับสูงพอสมควร
ขณะเดียวกัน ในช่วงเดือนมกราคมนี้บริษัทจะเปิดขายและรับซื้อคืนกองทุนตราสารหนี้ที่ครบรอบการลงทุน 3 เดือน และ 6 เดือน เพื่อสนองตอบความต้องการของผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ระยะเวลาสั้น ๆ ได้แก่ กองทุนเปิดเอฟไอเอฟตราสารหนี้ 3M10 (FIF-FIXED 3M10) ที่จะเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ในวันที่ 16 มกราคม 2551 ซึ่งกองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เช่น กองทุนจะพิจารณาลงทุนใน ECP (Euro Commercial Paper) ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ Investment Grade ขึ้นไปจาก S&P และหรือเงินฝากระยะสั้น หรือตราสารเทียบเท่าเงินสดระยะสั้นของสถาบันการเงินในต่างประเทศ โดยผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 3.2% นอกจากนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน (Fully Hedged) ตั้งแต่วันที่ลงทุนอีกด้วย
ส่วนกองทุนเปิดแอสเซทพลัสทวีเงินออม 1 (ASP-MMF1) จะมีผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 3.1% และนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ไทยและตราสารหนี้ต่างประเทศ เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก ซึ่งกองทุนนี้จะเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่อีกครั้งในวันที่ 25 มกราคม 2551
ขณะที่กองทุนเปิดพันธบัตรคุ้มครองเงินต้น 3M1 (GBF-3M1) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ เพื่อสร้างโอกาสผลตอบแทนที่ดีพร้อมคุ้มครองเงินลงทุนเริ่มแรก เหมาะสำหรับผู้ลงทุนต้องการลงทุนความเสี่ยงต่ำ โดยมีผลตอบแทนที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 2.5% และจะเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ในวันที่ 28 มกราคม 2551 และสุดท้าย กองทุนเปิดแอสเซทพลัสทรัพย์มั่นคง 6M1 (SIF-6M1) กองทุนที่ลงทุนทุกรอบ 6 เดือน มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ และเอกชน ที่มีรอบการลงทุนไม่ยาวมาก โดยจะเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ในวันที่ 31 มกราคมนี้