xs
xsm
sm
md
lg

การคัดสรร 50 ยอดหุ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ดร. สมจินต์ ศรไพศาล
บลจ. วรรณ จำกัด


ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่มีผลต่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จคือ การทำงานเป็นทีม มีผู้กล่าวเปรียบเทียบการทำงานเป็นทีมได้อย่างน่าสนใจว่า การให้คนสองคนมาช่วยกันทำงาน จะทำงานได้เสร็จเร็วกว่าทำคนเดียวเกินกว่าหนึ่งเท่าตัว ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการลบจุดอ่อนและเสริมจุดแข็งของกันและกัน สำหรับองค์กรต่างๆนั้นการคัดเลือกผู้เข้ามาร่วมทีมงานตามคุณสมบัติที่กำหนด ย่อมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จขององค์กรอย่างต่อเนื่อง

แจ็ค เวลช์อดีตซีอีโอผู้ยิ่งใหญ่ของจีอี บอกถึงกระบวนการสำคัญในการพัฒนาทีมงานขององค์กรด้วยการคัดคนที่ด้อยคุณภาพออกและชวนคนที่มีความสามารถมากกว่าเข้ามาเสริมทีมอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้องค์กรมีความเข้มแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเวลาผ่านไป

เหมือนกับที่การคัดคนอย่างต่อเนื่องมีความสำคัญในการสร้างองค์กรให้เข้มแข็ง การคัดหุ้นในพอร์ตการลงทุนก็สำคัญต่อการทำให้ทัพลงทุนเข้มแข็งขึ้น หากท่านบริหารการลงทุนด้วยตนเอง ท่านต้องเริ่มจากการเลือกหุ้นดี มีศักยภาพเข้ามาพอร์ต แต่งานมิได้จบเพียงแค่นั้น ท่านยังต้องคอยติดตามดูปัจจัยพื้นฐานที่เป็นเหตุให้ท่านซื้อหุ้นนั้นๆว่ายังคงดีอยู่หรือไม่ หากปัจจัยสนับสนุนเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง ท่านก็ต้องตัดสินใจลดการลงทุนนั้นลงเสีย ขณะเดียวกันก็ต้องคอยมองหาหุ้นที่ดีกว่าเข้ามาแทนที่เช่นกัน

สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่ซึ่งไม่มีเวลามากพอในการบริหารคัดสรรหุ้นดังที่ผมเรียนมา ก็ยังมีทางเลือกหนึ่งที่ทดแทนกันได้อย่างดี คือ การลงทุนใน TDEX (ThaiDEX SET50 ETF) ทั้งนี้ก็เพราะ TDEX อิงการลงทุนแบบดัชนี SET50 ซึ่งมีกลไกการคัดหุ้นอย่างสม่ำเสมอเป็นระบบ

ตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นมีการคัดเลือกยอดหุ้น 50 หุ้นเข้าเป็นสมาชิกของดัชนี SET50 โดยใช้เกณฑ์การพิจารณาอยู่สองประการ คือ ความใหญ่และความคล่อง โดยหุ้นทั้งหมด 400 กว่าตัวจะถูกจัดลำดับตามขนาดความใหญ่ (Market Capitalization) และยังต้องผ่านการพิจารณาสภาพคล่องในการซื้อขาย คือเป็นหุ้นที่มีการซื้อขายอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง

การคัดสรรจะทำปีละสองครั้งทุกต้นปีและกลางปี นั่นหมายถึงว่าหุ้นใดใน SET50 ที่มูลค่าตลาดเล็กลง มีการซื้อขายน้อยก็มีโอกาสจะถูกคัดออก และหุ้นที่ใหญ่ขึ้นคล่องกว่าก็จะได้เข้าเป็นสมาชิกใหม่ของ SET50 แทนสมาชิกเดิม (มิได้หมายความว่าหุ้นที่ถูกคัดออกจาก SET50 เป็นหุ้นที่ไม่ดี แต่หมายถึงมีหุ้นที่มีขนาดใหญ่กว่าและคล่องกว่าโดยเปรียบเทียบเข้ามาแทนที่) ความใหญ่ และความคล่องของหุ้นนั้น ก็บ่งบอกได้ถึงความแข็งแรงของหุ้นตัวนั้นๆ การเจริญเติบโตของบริษัท ความสามารถในการแข็งขัน การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม และการได้รับความสนใจจากนักวิเคราะห์ รวมไปถึงผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

ต้นปี พ.ศ. 2551 ดัชนี SET50 ได้มีการต้อนรับสมาชิกใหม่ 3 รายคือ PTTAR, PS และ MAJOR โดย PTTAR มาจากการควบรวมของ ATC และ RRC ทำให้ PTTAR มีศักยภาพทางด้านโรงกลั่นใกล้เคียงกับ บมจ. ไทยออยล์ และมีโรงปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ทางด้าน PS หรือ บมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท เป็นผู้นำในตลาดบ้านทาวเฮาส์แถบชานเมือง มีกำไรสุทธิอยู่ในระดับสูงเพราะมีประสิทธิภาพในด้านการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้ดีที่สุดบริษัทหนึ่ง ส่วน MAJOR หรือ บมจ. เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป เป็นผู้นำในธุรกิจโรงภาพยนต์โดยมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 80% โดยโมเดลการขยายธุรกิจของเมเจอร์นั้นสอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ได้อย่างเหมาะสม จะเห็นได้ว่าหุ้นน้องใหม่ทั้งสามบริษัท มีศักยภาพในการเจริญเติบโต และจัดได้ว่าเป็นบริษัทแถวหน้าในอุตสหกรรมของตน

ผมได้ทำการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลังของหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET50 และ SET ในช่วงห้าปีระหว่าง พ.ศ. 2545 – 2549 พบว่าผลตอบแทนรวม (คิดปันผลด้วย)ของดัชนี SET50 คือ 188.60% หรือคิดเป็น 23.61% ต่อปี ในขณะที่ดัชนี SET ให้ผลตอบแทนรวม 169.85% หรือคิดเป็น 21.96% ต่อปี ส่วนในปี พ.ศ. 2550 ที่เพิ่งผ่านไปนี้ดัชนี SET50 ให้ผลตอบแทนรวม 38.77% ส่วนดัชนี SET ให้ผลตอบแทนรวม 31.37%

แม้ผลตอบแทนรวมของดัชนี SET50 จะดีกว่าดัชนี SET ในช่วงหกปีที่ผ่านมานี้ แต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไปว่า SE50 จะชนะ SET ในทุกๆปี อย่างไรก็ตามโดยกลไกของการคัดหุ้นเข้าดัชนี SET50 นั้น คงคาดการณ์ได้ว่าในระยะยาว SET50 น่าจะมีผลตอบแทนที่ดีกว่า SET ได้ด้วยตรรกะที่ว่า หุ้นใน SET50 เป็นหุ้นที่มาจากการคัดประกวดทุกครึ่งปีดังที่กล่าวมาแล้ว

สำหรับ TDEX อีทีเอฟ ที่ บลจ.วรรณบริหารนั้นก็ได้มีการปรับพอร์ตตามการปรับเปลี่ยนของดัชนี SET50 เรียบร้อยแล้วเช่นกัน เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ภาพที่สมบูรณ์ขึ้น TDEX อีทีเอฟซึ่งอิงดัชนี SET50ได้ทำการเสนอขายครั้งแรกที่ราคา 5.68 บาท ณ วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ราคาปิด ณ วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ที่ราคา 6.35 บาท หรือคิดเป็นผลตอบแทน 11.8% ในเวลาสี่เดือนของการลงทุน และมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนเติบโตจาก ประมาณ 1,000 ล้านบาท เป็นประมาณ 2,400 ล้านบาทครับ

ในตารางข้างล่างนี้ผมแสดงข้อมูลของสมาชิกปัจจุบันของดัชนี SET50 เกี่ยวกับ อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Yield) ราคาต่อความสามารถในการทำกำไร (P/E Ratio) และ ราคาต่อมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (P/B Ratio) ณ ราคาปิดของวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2551ครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น