บลจ.อยุธยา พอใจผลดำเนินงานปีหมู คุย“อยุธยาหุ้นปันผล" ประสบความสำเร็จลูกค้าให้การตอบรับท่วมท้น เช่นเดียวกับกองแอลทีเอฟ และอาร์เอ็มเอฟ ผู้บริหารประเมินแนวโน้มการลงทุนตลาดหุ้นไทยปีนี้ กลุ่มแบงก์น่าสนใจสุด เช่นเดียวกับกลุ่มยานยนต์ และพาณิชย์ แต่ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศให้คอยติดตาม
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด (เอวายเอฟ) เปิดเผยว่า สำหรับในช่วงปีที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของบริษัทถือว่าอยู่ในขั้นเป็นที่น่าพอใจ ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามารุมเร้าบ้าง โดยเฉพาะกองทุนอยุธยาหุ้นปันผลนั้นได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงปีที่ผ่านมาด้วย นอกจากนี้แล้วกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ยังสามารถได้รับการตอบรับที่ดีแก่นักลงทุนเช่นกัน
สำหรับ กองทุนอยุธยาหุ้นปันผล (AYFSDIV) มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ณ วันที่ 2 มกราคม 2551 อยู่ที่ 221.83 ล้านบาท ส่วนหลักทรัพย์ 10 อันดับแรกของหลักทรัพย์ที่ลงทุน ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 ประกอบด้วย 1. กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท 8.97% 2. บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย 8.67% 3. บมจ. เอ็ม บี เค 8.29% 4. บมจ โกลว์ พลังงาน 7.31% 5.บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส 6.46% 6. บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ 6.25% 7. บมจ.แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) 5.73% 8.บมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส์ 5.37% 9. บมจ.ศรีอยุธยาประกันภัย 5.13% และ 10. ธนาคารทิสโก้ 5.11% และผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน 3.40% ย้อนหลัง 6 เดือน 11.97% ส่วนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมามีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิทั้งสิ้น 2,629.23 ล้านบาท และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) มีมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิทั้งสิ้น 2,080.59 ล้านบาท
“ผลการดำเนินงานของสามกองทุนนั้นไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมอยุธยาหุ้นปันผล กองทุนอาร์เอ็มเอฟ และกองทุนแอลทีเอฟ ในช่วงปีที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี และยังส่งผลให้ผลตอบแทนที่ดีกับนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนอีกด้วย” นายประภาส กล่าว
นายประภาส กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นปี2551 ยังคงมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่ยังมีน้อยกว่าในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี 2551 ทิศทางการลงทุนยังอยู่คงอยู่ในช่วงขาขึ้น ตลาดการลงทุนยังเป็นบวกอยู่ ดังนั้นจึงสามารถเข้าไปลงทุนได้ เพราะเมื่อเทียบกับช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมานั้น ผลกำไรของบริษัทแทบจะไม่มีเลยหรือเทียบได้กับศูนย์ แต่จากการที่บริษัทได้เข้าไปลงในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มแบงก์มากขึ้น ทำให้สามารถได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสองกลุ่มดังกล่าวยังมีความโดดเด่นและให้ผลตอบแทนที่ดี ขณะที่บางเซกเตอร์แล้วยังมีความเติบโตไม่มากนัก
"ในปีคาดว่าเศรษฐกิจจะมีการเติบโตขึ้นอีกเนื่องจากมีหลายปัจจัยมาสนุบสนุนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมืองที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีความมั่นใจที่จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง และคาดว่าในปีนี้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นจะอยู่ประมาณ 60 – 70% โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มแบงก์ที่ในปีนี้ยังคงมีแนวโน้มที่ดีอยู่ เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มพลังงาน แม้ไม่มีความโดดเด่นเหมือนปีที่ผ่านมา นอกจากนี้แล้วหุ้นกลุ่มสื่อสารยังคงมีความโดดเด่นเช่นกัน แต่จะเป็นเฉพาะบางบริษัทเท่านั้น เนื่องจากกลุ่มสื่อสารยังคงมีปัญหาในเรื่องของ กทช. อยู่ และอย่างไรก็ตามภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2551 ยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้นอยู่"
นายณสุ จันทร์สม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อยุธยา กล่าวว่า การลงทุนตลาดหุ้นยังคงได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องซับไพรม์ ราคาน้ำมัน รวมทั้งสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งอาจส่งผลให้รัฐบาลปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก แต่อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มยานยนต์ กลุ่มพาณิชย์ และหุ้นธนาการบางหลักทรัพย์ทรัพย์ ยังสามารถที่จะเข้าไปลงทุน เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีได้
"เราไม่เน้นที่จะเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่เท่านั้น เราคัดเลือกหุ้นทุกตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับการลงทุนได้ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นขนาดกลางหรือขนาดเล็กก็ตามอาทิ เช่นกลุ่มการพิมพ์ แต่อย่างไรก็ตามการลงทุนในปีนี้จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะหลายปัจจัยลบยังไม่คลี่คลาย ซึ่งจะต้องรอดูสถานการณ์ดังกล่าวถึงช่วงกลางปีนี้ ว่าจะคลี่คลายลงไปได้มากน้อยเพียงใด" นายณสุ กล่าวเพิมเติม
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด (เอวายเอฟ) เปิดเผยว่า สำหรับในช่วงปีที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของบริษัทถือว่าอยู่ในขั้นเป็นที่น่าพอใจ ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามารุมเร้าบ้าง โดยเฉพาะกองทุนอยุธยาหุ้นปันผลนั้นได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงปีที่ผ่านมาด้วย นอกจากนี้แล้วกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ยังสามารถได้รับการตอบรับที่ดีแก่นักลงทุนเช่นกัน
สำหรับ กองทุนอยุธยาหุ้นปันผล (AYFSDIV) มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ณ วันที่ 2 มกราคม 2551 อยู่ที่ 221.83 ล้านบาท ส่วนหลักทรัพย์ 10 อันดับแรกของหลักทรัพย์ที่ลงทุน ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 ประกอบด้วย 1. กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท 8.97% 2. บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย 8.67% 3. บมจ. เอ็ม บี เค 8.29% 4. บมจ โกลว์ พลังงาน 7.31% 5.บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส 6.46% 6. บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ 6.25% 7. บมจ.แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) 5.73% 8.บมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส์ 5.37% 9. บมจ.ศรีอยุธยาประกันภัย 5.13% และ 10. ธนาคารทิสโก้ 5.11% และผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน 3.40% ย้อนหลัง 6 เดือน 11.97% ส่วนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมามีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิทั้งสิ้น 2,629.23 ล้านบาท และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) มีมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิทั้งสิ้น 2,080.59 ล้านบาท
“ผลการดำเนินงานของสามกองทุนนั้นไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมอยุธยาหุ้นปันผล กองทุนอาร์เอ็มเอฟ และกองทุนแอลทีเอฟ ในช่วงปีที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี และยังส่งผลให้ผลตอบแทนที่ดีกับนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนอีกด้วย” นายประภาส กล่าว
นายประภาส กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นปี2551 ยังคงมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่ยังมีน้อยกว่าในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี 2551 ทิศทางการลงทุนยังอยู่คงอยู่ในช่วงขาขึ้น ตลาดการลงทุนยังเป็นบวกอยู่ ดังนั้นจึงสามารถเข้าไปลงทุนได้ เพราะเมื่อเทียบกับช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมานั้น ผลกำไรของบริษัทแทบจะไม่มีเลยหรือเทียบได้กับศูนย์ แต่จากการที่บริษัทได้เข้าไปลงในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มแบงก์มากขึ้น ทำให้สามารถได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสองกลุ่มดังกล่าวยังมีความโดดเด่นและให้ผลตอบแทนที่ดี ขณะที่บางเซกเตอร์แล้วยังมีความเติบโตไม่มากนัก
"ในปีคาดว่าเศรษฐกิจจะมีการเติบโตขึ้นอีกเนื่องจากมีหลายปัจจัยมาสนุบสนุนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมืองที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีความมั่นใจที่จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง และคาดว่าในปีนี้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นจะอยู่ประมาณ 60 – 70% โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มแบงก์ที่ในปีนี้ยังคงมีแนวโน้มที่ดีอยู่ เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มพลังงาน แม้ไม่มีความโดดเด่นเหมือนปีที่ผ่านมา นอกจากนี้แล้วหุ้นกลุ่มสื่อสารยังคงมีความโดดเด่นเช่นกัน แต่จะเป็นเฉพาะบางบริษัทเท่านั้น เนื่องจากกลุ่มสื่อสารยังคงมีปัญหาในเรื่องของ กทช. อยู่ และอย่างไรก็ตามภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2551 ยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้นอยู่"
นายณสุ จันทร์สม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อยุธยา กล่าวว่า การลงทุนตลาดหุ้นยังคงได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องซับไพรม์ ราคาน้ำมัน รวมทั้งสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งอาจส่งผลให้รัฐบาลปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก แต่อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มยานยนต์ กลุ่มพาณิชย์ และหุ้นธนาการบางหลักทรัพย์ทรัพย์ ยังสามารถที่จะเข้าไปลงทุน เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีได้
"เราไม่เน้นที่จะเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่เท่านั้น เราคัดเลือกหุ้นทุกตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับการลงทุนได้ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นขนาดกลางหรือขนาดเล็กก็ตามอาทิ เช่นกลุ่มการพิมพ์ แต่อย่างไรก็ตามการลงทุนในปีนี้จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะหลายปัจจัยลบยังไม่คลี่คลาย ซึ่งจะต้องรอดูสถานการณ์ดังกล่าวถึงช่วงกลางปีนี้ ว่าจะคลี่คลายลงไปได้มากน้อยเพียงใด" นายณสุ กล่าวเพิมเติม