บิ๊กบอส โตโยต้า “โนริอากิ ยามาชิตะ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า ประเทศไทย จำกัด เปิดใจตอบทุกคำถาม ถึงสถานการณ์ตลาดรถเมืองไทย ท่ามกลางแบรนด์จีนพาเหรดชิงลูกค้า เล่นสงครามราคา บวกกับเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย ไฟแนนซ์เข้มงวด ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ เจ้าตลาดจะรับมืออย่างไร หลังบรรทัดนี้มีคำตอบ
-ผลดำเนินงานของโตโยต้า ตลาดรวมในปีที่ผ่านมา
ยอดขายของอุตสาหกรรมรถยนต์ในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 770,000 คัน ลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดรถยนต์ไทยประสบภาวะค่อนข้างลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสที่ 4 เนื่องจากดัชนีทางด้านเศรษฐกิจยังไม่ค่อยดีนักส่งผลให้อุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศไม่ค่อยเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดรถปิกอัพที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มมาตรการในการปล่อยกู้ที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น ตลอดจนภาวะหนี้ครัวเรือนในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ยอดขายรถปิกอัพในปีที่ผ่านมาลดลงกว่า 30%
ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดของปิกอัพโตโยต้าในปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 40% ซึ่งสูงสุดตั้งแต่ปี 2011 และมีส่วนแบ่งตลาดรวมอยู่ที่ 34.3% ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนการตลาดที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2015
-ภาพรวมของตลาดรถยนต์ในปีนี้
สถานการณ์ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยปีนี้ เราเคยคาดการณ์ไว้ว่า ยอดขายรวมทั้งปีน่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา ที่ระดับ 780,000 ถึง 800,000 คัน แต่เนื่องจากดัชนีของเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสที่ 4 ไม่สู้ดีนัก ตลอดจนการเพิ่มความเข้มงวดของมาตรการการปล่อยกู้และปัญหาหนี้ครัวเรือน ทั้งเห็นว่าสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะเพื่อฟื้นตัวจึงปรับลดประมาณการณ์ยอดขายตลาดรถยนต์ในประเทศไทยปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 730,000 คัน
สำหรับยอดขายของโตโยต้า เราตั้งเป้าหมายการขาย 250,000 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดที่ 34% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โตโยต้ามีส่วนแบ่งการตลาดที่ 34.3%
แม้ว่าการเข้ามาของค่ายผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีน และการแนะนำรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) อาจส่งผลทำต่อการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้โดยง่าย แต่เมื่อดูตัวเลขจากเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โตโยต้ามีส่วนแบ่งการตลาดที่ 34.8% ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วที่ 34.3% จึงเชื่อว่าเป้าหมายดังกล่าวมีความเป็นไปได้
-ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับเป้าเหลือ 730,000 คัน
ถ้าดูตลาดช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะรายไตรมาสหรือว่ารายเดือนก็ตาม จะเห็นได้ว่าตลาดค่อนข้างซบเซาโดยไม่ได้มีการเติบโตขึ้นมากเท่าไหร่ และเมื่อดูตัวเลขอัตราการเติบโตจากเมื่อปลายปีที่แล้ว ตลอดจนเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปีนี้ น่าจะเป็นไปได้ว่าในปี 2024 นี้ ยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทยน่าจะต่ำกว่า 730,000 คันเล็กน้อย
แต่ว่าไตรมาส 2 ตลอดจนไตรมาส 3 ปีนี้ เราน่าจะเห็นปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยมีปัจจัยบวกจากการท่องเที่ยวมาเสริมในจุดนี้ด้วย จึงเชื่อว่าช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวให้เห็นอย่างชัดเจนมากกว่าที่ผ่านมา
ดูจากงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้แล้วเห็นค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ออกมาตรการทางการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายกันอย่างเต็มที่ โดยในส่วนตัวอยากจะให้ยอดขายในประเทศไทยเพิ่มขึ้นสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 730,000 คันให้ได้ตามนี้
-ยอดขายรถยนต์ไฮบริด
ตั้งแต่แนะนำรถคัมรี่ รุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด ในปี 2009 เราได้เพิ่มจำนวนรุ่นของรถไฮบริดเพื่อจำหน่ายในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปลายปีที่แล้วแนะนำตัว ยาริส ครอส รวมถึง โคโรลล่า ครอส ใหม่ ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ตลาดรถไฮบริดในประเทศไทย เรามองว่าสัดส่วนยอดขายรถ BEV ในประเทศไทยอยู่ที่ 10% ขณะที่รถไฮบริดมีสัดส่วนสูงกว่าที่ 12% ดังนั้น ตลาดรถไฮบริดน่าจะขยายตัวออกไปได้อย่างแข็งแกร่งขึ้น โดยยอดขายของ BEV เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพิ่มจาก 10% เป็น 14% ขณะที่สัดส่วนยอดขายรถไฮบริดเพิ่มขึ้นสูง จาก 12% เมื่อปีที่แล้ว เป็น 22% ในปีนี้
ยอดขายในตลาดไฮบริดของโตโยต้าเมื่อปีที่แล้ว เราจำหน่ายรถไฮบริดได้ประมาณ 31,000 คัน คิดเป็นประมาณ 30% ของตลาดไฮบริดโดยรวมในประเทศไทย นอกจากนี้รถยาริส ครอส ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่แล้วได้เสียงตอบรับจากตลาดดีมากโดยหากดูยอดขายรถไฮบริดในประเทศไทยเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สัดส่วนทางตลาดที่โตโยต้าทำได้สูงกว่า 40% ซึ่งก็สูงกว่าเมื่อปีที่แล้ว
ข้อได้เปรียบของรถไฮบริด คือเราไม่จำเป็นจะต้องใช้สาธารณูปโภคเพิ่มเติม และสามารถลดอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ทันที เราจึงเห็นว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะนำประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ ดังนั้นโตโยต้าจึงมีแผนที่จะแนะนำรถรุ่นใหม่ที่เป็นรถไฮบริดออกมาเพิ่มในอนาคต
-ยอดจอง ยาริส ครอส, โตโยต้า ครอส และไฮลักซ์ แชมป์
สำหรับโคโรลล่า ครอสใหม่ ที่เพิ่งเปิดรับจองเพียง 1 เดือน เราได้รับยอดจองมากกว่า 3,000 คัน ส่วนของยาริส ครอส นับตั้งแต่เปิดตัวมา 5 เดือน มียอดจองสะสมรวมทั้งสิ้นกว่า 25,000 คัน หรือเดือนละประมาณ 5,000 คัน ซึ่งก็ถือว่าทำยอดขายได้ดี ด้านไฮลักซ์แชมป์ ที่เปิดจองมา 3 เดือน ได้ยอดจองกว่า 5,000 คัน ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ยอดจองของรถทั้ง 3 รุ่น ถือว่าเข้าเป้า หรือเหนือกว่าเป้าที่เราตั้งไว้ จึงคิดว่ายอดขายของรถทั้ง 3 รุ่นนี้น่าจะไปได้ดีในปีนี้
-ค่ายจีนเล่นสงครามราคา มีมาตรการรับมืออย่างไร
หากเราทำการแข่งขันด้านราคากันรุนแรงเกินไป ก็จะส่งผลต่อราคาขายต่อของรถยนต์โดยรวม ทั้งส่งผลต่อความรู้สึกของลูกค้าที่เพิ่งซื้อรถรุ่นนั้นไปด้วย เราจึงจำเป็นต้องพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียอย่างระมัดระวัง
สำหรับโตโยต้าเอง เราให้ความสำคัญกับ Value Chain ซึ่งก็คือคุณค่าตลอดห่วงโซ่การใช้งานของรถยนต์ของเรา โดยไม่ว่าลูกค้าจะซื้อรถโตโยต้าไปเมื่อใด เราก็มุ่งสร้างความสุข และรอยยิ้มให้ลูกค้าของเราทุกคน
ในปีนี้ โตโยต้ามีการแนะนำแคมเปญและข้อเสนอเพื่อกระตุ้นยอดขายต่าง ๆ เพื่อมุ่งบรรลุเป้าหมายส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งเราจะพิจารณากลยุทธ์ระยะกลางกับระยะยาวอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาถึงลูกค้าเป็นสำคัญ
-BEV ทั่วโลกลดลง จะทำให้ไฮบริดกลับมาได้รับความนิยมไหม
เมื่อปีที่แล้ว รถ BEV ได้รับความนิยมสูง และมีอัตราการเติบโตสูงมาก โดยมีปัจจัยสำคัญ คือสิทธิประโยชน์ที่รัฐบาลไทยให้ ซึ่งเป็นนโยบายสิทธิประโยชน์สําหรับรถที่นําเข้า 100% ที่จะสิ้นสุดในปี 2025 ส่วนรถที่มาประกอบหรือผลิตในประเทศไทยจะสิ้นสุดในปี 2027
แต่เหตุผลที่ในหลายประเทศ ความนิยมของรถ BEV ลดลงเป็นเพราะเทคโนโลยียังก้าวล้ำไปไม่ทันกับความคาดหวังและความต้องการใช้งานจริงของผู้คน โดยความสามารถใช้งานรถได้จริงกับความประหยัดเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก สำหรับการใช้งานได้จริงขึ้นอยู่กับความรวดเร็วของการพัฒนาสาธารณูปโภคในแต่ละประเทศว่าจะรองรับการใช้งานจริงได้หรือไม่
ส่วนความประหยัดคุ้มค่า ปัจจุบัน ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนต่างพากันลดราคา เพื่อแข่งขันอย่างดุเดือด แต่ว่าในท้ายที่สุดแล้ว นโยบายที่ว่าจะเป็นการช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดจริง ๆ ในระยะยาวหรือเปล่าก็เป็นเรื่องที่จำเป็นจะต้องดูกันต่อไป อย่างไรก็ตามการที่ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนดำเนินการเรื่องต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม
ทั้งนี้ โตโยต้าก็ยังมุ่งสร้างสรรค์ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านการใช้งานได้จริง ความประหยัด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึง การส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศชาติอย่างแท้จริง
-โตโยต้า จะผลิตไฮลักซ์ BEV แบบ mass production ภายในปี 2025
อย่างที่ทุกคนทราบว่า รถปิกอัพเป็นรถที่มีสัดส่วนยอดขาย 40 %ถึง 50% ของยอดขายรวม และมีการนำไปใช้งานกันจริง ตลอดจนมีความสำคัญของเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก แต่หากพิจารณาสองปัจจัยด้านภาระของสิ่งแวดล้อมอาจเป็นเรื่องยากที่จะลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์แต่เราจำเป็นต้องพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว เพราะประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการส่งออกสำคัญของภูมิภาคนี้
ด้านความประหยัดคุ้มค่าและการใช้งานจริง ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งปัจจุบันเราจะไม่พร้อมที่จะผลิตแบบ mass production ได้โดยทันที เราจะจำหน่ายภายในสิ้นปี 2025 พร้อมกับพิจารณาเทคโนโลยีทางเลือกอื่นๆ ที่เป็นไปได้ ซึ่งรวมถึงไฮบริดและพลังงานไฮโดรเจนด้วย
-รถจีนจะขายปิกอัพ BEV ในไทยคิดเห็นอย่างไร
เรื่องที่ว่ารถปิกอัพ BEV จะจำหน่ายได้หรือไม่ ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง แต่สำหรับคุณค่าที่รถประเภทนี้จะให้กับลูกค้าได้ไม่ว่าจะในส่วนของการใช้งานจริงหรือการประหยัด ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องพิสูจน์กันต่อไป การจะแนะนำรถปิกอัพ BEV ให้ได้สำเร็จ จำเป็นจะต้องให้ลูกค้าพิสูจน์ก่อนว่า เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบันแล้ว มีข้อได้เปรียบอย่างไรบ้าง
รถปิกอัพเป็นรถมหาชนของประเทศไทย เป็นรถที่อยู่ในใจของผู้คน และเป็นรถที่คนไทยใช้ทำมาหากิน เพราะฉะนั้น จึงต้องพิจารณาว่า จะทําอย่างไรให้ผลิตภัณฑ์รถปิกอัพ BEV ที่ใช้งาน และลดภาระต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังช่วยสนับสนุนประเทศไทยได้จริง
-ความคิดเห็นรถ BEV ของจีนมีตัวเลขเพิ่มขึ้น
กลยุทธ์ Multi Pathway ของโตโยต้า คือการมุ่งนำเสนอทางเลือกที่หลากหลายสำหรับลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างเพื่อให้ลูกค้าได้ใช้รถที่ตรงกับความต้องการของตนองมากที่สุด โดยMulti Pathway เป็นนโยบายของโตโยต้าทั่วโลก ซึ่งเราจะดูลักษณะจําเพาะของแต่ละประเทศและแต่ละตลาด ตลอดจึงความเป็นไปได้ในอนาคต แล้วจึงนำเสนอทางเลือกที่เหมาะสมให้ได้มากที่สุด
ทั้งนี้ การที่เราจะเลือกว่าเทคโนโลยีใดเหมาะสมกับประเทศไหน มีปัจจัยในการพิจารณาทั้งหมด 3 ข้อด้วยกัน
1.ปัจจัยแรกก็คือตัวลูกค้าว่าลูกค้าแนวโน้มจะซื้อรถที่มีเทคโนโลยีอะไร โดยเราก็จำเป็นจะต้องดูจากสภาพทางเศรษฐกิจ ณ ขณะนั้น และสภาพการใช้งานจริงของลูกค้าด้วย
2.ปัจจัยที่สองคือภาระต่อสิ่งแวดล้อม เราจำเป็นต้องดูด้วยว่าแต่ละประเทศตอนนี้มีโครงสร้างทางพลังงานอย่างไร เทคโนโลยีไหนที่จะช่วยลดภาระต่อสิ่งแวดล้อมในแต่ละประเทศได้เหมาะสมที่สุด
3.ปัจจัยที่สามคือเรื่องที่ว่าเราจะช่วยเหลือเศรษฐกิจของแต่ละประเทศได้อย่างไร อย่างที่ทราบกันดี ประเทศไทยถือว่าเป็นศูนย์กลางของการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคนี้ โดยอุตสาหกรรมรถยนต์คิดเป็นสัดส่วน GDP สูงถึง 12% ของประเทศไทย
หากเราพิจารณาจากปัจจัย 3 ข้อนี้แล้ว แน่นอนว่ารถ BEV ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญมากสำหรับอนาคต ซึ่งเราจะนิ่งเฉยไม่ได้แน่นอน แต่ส่วนของรถ BEV ในการใช้งานจริงขึ้นอยู่กับสาธารณูปโภค คือสถานีชาร์จ ว่าทุกคนจะเข้าถึงได้จริงหรือไม่ และอีกส่วนหนึ่งที่ต้องพิจารณาก็คือความประหยัดโดยรวมสำหรับลูกค้า หากลูกค้าชาร์จในช่วงกลางดึกซึ่งค่าไฟต่ำได้ก็อาจจะประหยัดสำหรับลูกค้าคนนั้นแต่ถ้าไม่สามารถทำได้อาจจะไม่ได้ประหยัดจริง รวมถึงเมื่อพิจารณาราคาขายต่อ ตลอดจนความประหยัดในระยะยาวอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน ซึ่งก็ต้องคำนึงถึงปัจจัยที่หลากหลายนี้เช่นกัน
ในส่วนของภาระต่อสิ่งแวดล้อม หากพิจารณาการลด CO2 แบบ Tank to Wheel การผลิตพลังงานภายในรถ BEVอาจจะปล่อยคาร์บอนออกมาเป็นศูนย์จริง แต่ถ้าพิจารณาแบบ Well to Wheel คือ แหล่งไฟฟ้าที่เอามาชาร์จ BEV อย่างประเทศไทยยังผลิตจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติอยู่เป็นหลัก เพราะฉะนั้นปริมาณ CO2 ที่ปล่อยออกมา เมื่อเทียบกับปริมาณการปล่อย CO2 ของรถทั่วไปหรือรถไฮบริดแล้ว ก็อาจจะไม่ได้ต่างกันมาก ซึ่งต้องคำนึงถึงจุดนี้ด้วย
ปัจจัยที่ 3 คือ BEV จะส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อย่างไร BEV ส่วนใหญ่ที่จำหน่ายในประเทศไทยตอนนี้เป็นรถนำเข้า 100% จึงอาจจะไม่สามารถช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ ณ ปัจจุบันนี้ได้มากเท่าไหร่นัก สำหรับโตโยต้าเอง หากจะผลิต BEV ในประเทศไทย เราจำเป็นต้องมียอดผลิตที่สูงและคุ้มค่าด้านต้นทุน อย่างรถไฮลักซ์ในปัจจุบันมีอัตราส่วนชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศถึง 90% โดยหากเราต้องการให้ BEV มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทย เราก็จำเป็นจะต้องพิจารณาเรื่องระยะเวลาและความเหมาะสมด้วย
หากพิจารณาเฉพาะในประเทศไทยตอนนี้ อัตราการแพร่หลายของรถ BEV ดูค่อนข้างสูงและรวดเร็วมาก แต่ถ้าเรามองที่ตลาดอาเซียนโดยรวม ยอดขายรถไฟฟ้าในประเทศอื่น ๆ ภายในอาเซียนอาจยังไม่ได้สูงขนาดนั้น จึงต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการผลิตในประเทศไทยแล้วส่งออกในภูมิภาคอาเซียน ตอนนี้จึงอาจจะยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมเท่าใดนัก
อย่างไรก็ตาม โตโยต้า น้อมรับนโยบายของประเทศไทยที่อยากจะมีสัดส่วนการใช้รถ BEV ให้ได้ 30% ภายในปี 2030 โดยจะขยายเทคโนโลยีการผลิตแบบ Step-by-step เรามีแผนที่เป็นรูปธรรมในระยะสั้น คือ แผนผลิตรถไฮลักซ์ BEV ที่พร้อมจะส่งมอบให้เทศบาลเมืองพัทยา เพื่อใช้เป็นรถสองแถวแบบทดสอบ 12 คันในวันที่ 25 เมษายนที่จะถึงนี้ โดยจะมีพิธีส่งมอบกันที่พัทยา นอกจากนี้ เรายังมีแผนทําการผลิตรถไฮลักซ์ BEV แบบ mass production ภายในปลายปี 2025 อีกด้วย และหลังจากนี้เป็นต้นไป ทางโตโยต้าก็จะทําการพิจารณาผลิตรถ BEV ที่เป็นรถยนต์โดยสารทั่วไปในประเทศไทยในอนาคต
สําหรับรถไฮบริด มีข้อได้เปรียบเนื่องจากไม่จำเป็นจะต้องเพิ่มสาธารณูปโภคอะไร ทุกคนสามารถใช้งานได้ทันที ด้านความประหยัดเองก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของลูกค้า ลูกค้าบางคนมีวิธีการใช้งานแบบหนึ่ง ใช้ไฮบริดก็อาจจะประหยัดกว่า BEV ก็ได้ แต่ว่าถ้าเกิดใช้งานอีกแบบ BEV ก็อาจจะประหยัดกว่าไฮบริด จึงขึ้นอยู่กับสถานการณ์การใช้งาน
ในเรื่องของการช่วยเหลือเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ เนื่องจาก มีซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไปประเทศไทยจํานวนมากสามารถใช้การผลิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อผลิตชิ้นส่วนสําหรับรถไฮบริดได้ จึงถือเป็นการช่วยเหลือซัพพลายเออร์เหล่านี้ต่อไป ซึ่งหากเราดูสภาพการณ์ของประเทศเพื่อนบ้านของไทย ก็จะเห็นว่ามีความนิยมในรถไฮบริดมากกว่ารถ BEV ณ ขณะนี้ดังนั้นรถไฮบริดจึงยังมีข้อได้เปรียบด้านการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านอยู่
นโยบายด้านไฮบริดของโตโยต้า อย่างที่เราเปิดตัวรถโคโรลล่าครอส รุ่นไฮบริดไปเมื่อไม่นานมานี้ เราก็อยากจะให้รถยนต์รุ่นหลักของโตโยต้ามีออปชั่นที่เป็นไฮบริดให้ครบทุกรุ่นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
-เป้ายอดจองในงานมอเตอร์โชว์
ที่ผ่านมา ทางโตโยต้ามียอดจองสูงสุดแทบจะทุกครั้ง ด้วยสัดส่วนประมาณ 14% ถึง 15% สำหรับเป้ายอดจองของมอเตอร์โชว์ในปีนี้ก็เช่นเดียวกัน เรายังคงต้องการรักษาส่วนแบ่งดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
ฉะนั้น เราจึงแนะนำมาตรการส่งเสริมการขาย เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจจองกับเราได้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมาตรการ Easy Loan และ PHYD Campaign, Deferred Payment อีกทั้งเรายังให้วางเงินดาวน์ได้ด้วยเครดิตการ์ด เพื่อช่วยสนับสนุนให้ยอดจองภายในงานเป็นไปตามเป้าหมาย
นอกจากนี้ เรายังขอเน้นย้ำว่ารถโตโยต้านั้นแม้ว่าจะใช้งานแล้ว ก็มีมูลค่าการขายต่อที่มักจะสูงกว่าแบรนด์อื่น และเราก็จะมีโปรโมชั่นการ trade-in รถ เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อรถคันใหม่ได้ง่ายขึ้น นำมาสนับสนุนในงานมอเตอร์โชว์ปีนี้ด้วยเช่นกัน ที่สำคัญเราก็ยังจะมีแคมเปญจับสลากสําหรับลูกค้าทุกท่านที่จองและออกรถของเราในงานนี้ด้วย จึงอยากจะให้ลูกค้าได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่ไปกับแคมเปญและรางวัลพิเศษต่างที่เราเตรียมไว้