เกรท วอลล์ มอเตอร์ส (Great Wall Motors) ลงนามเซ็นสัญญา ซื้อขายโรงงานที่จังหวัดระยอง จาก เจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) อย่างเป็นทางการ ปั้นไทยเป็นศูนย์กลางอาเซียน ตั้งเป้าเดินสายการผลิตช่วงไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2564 กำลังผลิต 80,000 คัน
เกรท วอลล์ มอเตอร์ส เริ่มเข้ามาลงทุนเพื่อสร้างฐานการผลิตในประเทศไทยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ในช่วงต้นปี ที่ผ่านมา โดยเริ่มจากการเจรจากับเจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ถึงการซื้อขายศูนย์การผลิต ศูนย์ประกอบรถยนต์และเครื่องยนต์ที่จังหวัดระยอง ภายใต้การลงนามข้อตกลงทางกฏหมายของเจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) และ เจนเนอรัล มอเตอร์ส เพาเวอร์เทรน ประเทศไทย (GM Powertrain Thailand)
ทั้งนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ส และ จีเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล ได้บรรลุข้อตกลงและลงนามเซ็นสัญญาซื้อขายโรงงานอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยในเวลานี้ ซึ่งโรงงานดังกล่าวจะนับเป็นฐานการผลิตยานยนต์เต็มรูปแบบลำดับที่ 11 ของเกรท วอลล์ มอเตอร์ส ทั่วโลก
จาง เจียหมิง ประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ส ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย กล่าวว่า แนวโน้ม ของอุตสาหกรรมยานยนต์ ในภูมิภาคอาเซียนกำลังเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ประเทศไทยมีพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งระดับแนวหน้า ได้รับการยกย่องว่าเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งความพร้อมด้านบุคลากร ตลอดจนระบบนิเวศที่พัฒนาอย่างสมบูรณ์
การส่งมอบโรงงานหลังจากการลงนาม เซ็นสัญญาซื้อขายในครั้งนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ส จะเริ่มปรับปรุงพื้นที่และวางระบบใหม่ให้โรงงานแห่งนี้เป็น “Smart Factory” ตามมาตรฐานการผลิตยานยนต์ระดับโลกของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ส โดยจะนำความเชี่ยวชาญและความสามารถในการผลิตรถเอสยูวี รถกระบะ รวมไปถึงเทคโนโลยีระบบส่งกำลังที่ทันสมัยมาใช้ในการผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV)
นอกจากนี้ยังจะมีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบการผลิตอัตโนมัติ AI (Artificial Intelligence) เข้ามา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยจะลงทุนในด้านอุปกรณ์การผลิต การวิจัย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับตลาดเมืองไทยและภูมิภาคอาเซียน รวมถึงพัฒนาทักษะและฝีมือแรงงานในภาคการผลิตอีกด้วย
โจเซฟ อูโซ่ ผู้อำนวยการด้านองค์กรและการควบรวมกิจการระดับโลก จีเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า เจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่โรงงานในจังหวัดระยองจะยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยและภูมิภาคอาเซียน
อนึ่ง เกรท วอลล์ มอเตอร์ส เดินหน้าขยายธุรกิจและภาพลักษณ์ของแบรนด์ไปทั่วโลกด้วยวิสัยทัศน์ในการเป็น “บริษัทที่ให้บริการการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีระดับโลก” (Global Mobility Technology Company) เพื่อช่วยยกระดับชีวิตของผู้คนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ปัจจุบัน เกรท วอลล์ มอเตอร์ส มีศูนย์วิจัยและพัฒนากว่า 10 แห่งใน 7 ประเทศ และมีโรงงานการผลิต 15 แห่งทั่วโลก และโรงงานในประเทศไทยกำลังจะเข้ามาเป็นโรงงานใหม่ล่าสุด ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตภายในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2564 ด้วยกำลังการผลิตรถยนต์ประมาณ 80,000 คันต่อปี
การลงทุนของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ส ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสการจ้างงานและส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบแล้ว ยังเป็นการช่วยส่งเสริมให้ การวิจัยและพัฒนาของไทยมีความก้าวหน้า สามารถช่วยสนับสนุนและพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ ตลอดจนอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ขยายตัวเติบโต ได้อย่างต่อเนื่อง
เกรท วอลล์ มอเตอร์ส เริ่มเข้ามาลงทุนเพื่อสร้างฐานการผลิตในประเทศไทยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ในช่วงต้นปี ที่ผ่านมา โดยเริ่มจากการเจรจากับเจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ถึงการซื้อขายศูนย์การผลิต ศูนย์ประกอบรถยนต์และเครื่องยนต์ที่จังหวัดระยอง ภายใต้การลงนามข้อตกลงทางกฏหมายของเจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) และ เจนเนอรัล มอเตอร์ส เพาเวอร์เทรน ประเทศไทย (GM Powertrain Thailand)
ทั้งนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ส และ จีเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล ได้บรรลุข้อตกลงและลงนามเซ็นสัญญาซื้อขายโรงงานอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยในเวลานี้ ซึ่งโรงงานดังกล่าวจะนับเป็นฐานการผลิตยานยนต์เต็มรูปแบบลำดับที่ 11 ของเกรท วอลล์ มอเตอร์ส ทั่วโลก
จาง เจียหมิง ประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ส ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย กล่าวว่า แนวโน้ม ของอุตสาหกรรมยานยนต์ ในภูมิภาคอาเซียนกำลังเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ประเทศไทยมีพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งระดับแนวหน้า ได้รับการยกย่องว่าเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งความพร้อมด้านบุคลากร ตลอดจนระบบนิเวศที่พัฒนาอย่างสมบูรณ์
การส่งมอบโรงงานหลังจากการลงนาม เซ็นสัญญาซื้อขายในครั้งนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ส จะเริ่มปรับปรุงพื้นที่และวางระบบใหม่ให้โรงงานแห่งนี้เป็น “Smart Factory” ตามมาตรฐานการผลิตยานยนต์ระดับโลกของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ส โดยจะนำความเชี่ยวชาญและความสามารถในการผลิตรถเอสยูวี รถกระบะ รวมไปถึงเทคโนโลยีระบบส่งกำลังที่ทันสมัยมาใช้ในการผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV)
นอกจากนี้ยังจะมีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบการผลิตอัตโนมัติ AI (Artificial Intelligence) เข้ามา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยจะลงทุนในด้านอุปกรณ์การผลิต การวิจัย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับตลาดเมืองไทยและภูมิภาคอาเซียน รวมถึงพัฒนาทักษะและฝีมือแรงงานในภาคการผลิตอีกด้วย
โจเซฟ อูโซ่ ผู้อำนวยการด้านองค์กรและการควบรวมกิจการระดับโลก จีเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า เจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่โรงงานในจังหวัดระยองจะยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยและภูมิภาคอาเซียน
อนึ่ง เกรท วอลล์ มอเตอร์ส เดินหน้าขยายธุรกิจและภาพลักษณ์ของแบรนด์ไปทั่วโลกด้วยวิสัยทัศน์ในการเป็น “บริษัทที่ให้บริการการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีระดับโลก” (Global Mobility Technology Company) เพื่อช่วยยกระดับชีวิตของผู้คนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ปัจจุบัน เกรท วอลล์ มอเตอร์ส มีศูนย์วิจัยและพัฒนากว่า 10 แห่งใน 7 ประเทศ และมีโรงงานการผลิต 15 แห่งทั่วโลก และโรงงานในประเทศไทยกำลังจะเข้ามาเป็นโรงงานใหม่ล่าสุด ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตภายในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2564 ด้วยกำลังการผลิตรถยนต์ประมาณ 80,000 คันต่อปี
การลงทุนของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ส ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสการจ้างงานและส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบแล้ว ยังเป็นการช่วยส่งเสริมให้ การวิจัยและพัฒนาของไทยมีความก้าวหน้า สามารถช่วยสนับสนุนและพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ ตลอดจนอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ขยายตัวเติบโต ได้อย่างต่อเนื่อง