เฟอร์รารี่ คือแบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาแบรนด์รถยนต์ของโลกเรียกว่า การนำเอาโลโก้ม้าของเฟอร์รารี่ไปติดบนสินค้าอะไรก็จะมีส่วนช่วยให้สินค้านั้นขายดีขึ้น ซึ่งความทรงพลังดังกล่าวนี้ยังคงมีมนต์ขลังไม่เสื่อมคลายแม้ว่าจะเกิดสถานการณ์อย่างโควิด-19 ด้วยยอดจองและยอดขายของคาวาลลิโน มอเตอร์ ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เฟอร์รารี่ในประเทศไทยนั้นไม่ลดลงแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังเพิ่มสูงขึ้นด้วยหลังจากที่เฟอร์รารี่ทยอยเปิดตัวรถใหม่แบบต่อเนื่อง
เฟอร์รารี่ เอฟ8 สไปเดอร์ คือหนึ่งในรุ่นล่าสุดที่เปิดตัวทำตลาดในประเทศไทยแบบสดๆ ร้อนๆ พร้อมกับการกวาดยอดจองนับถึงวันเปิดตัวเกือบ 20 คัน ฉะนั้นเมื่อเฟอร์รารี่จัดกิจกรรมให้ทดลองขับ เอฟ8 สไปเดอร์ ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่งจึงไม่พลาด ไปดูกันว่า เจ้าม้าลำพองเปิดหลังคาได้คันนี้มีทีเด็ดอะไร
720 แรงม้า กับการปิดหลังคา 14 วินาที
โครงสร้างพื้นฐานของ เอฟ8 สไปเดอร์นั้น ต่อยอดมาจากรุ่น เอฟ8 ทิบูโต ทั้งตัวถังและเครื่องยนต์ มีเพียงส่วนของหลังคาที่แตกต่างออกไป แต่มิใช่เรื่องง่ายเพราะหลังคาชุดใหม่นี้เป็นหลังคาแข็งพับเก็บได้ด้วยไฟฟ้า ดังนั้นจึงต้องมีการออกแบบและปรับปรุงหลายรายการเพื่อให้คงสมรรถนะที่ดีของเอฟ8 เอาไว้ได้
หลังคาแข็งจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ชิ้นเพื่อความสะดวกในการพับเก็บไว้ทางด้านบนของห้องเครื่องยนต์ โดยสามารถเปิด-ปิดได้ในเวลาเพียง 14 วินาที และทำงานได้ขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วไม่เกิน 45 กม./ชม. ผลงานของ Ferrari Styling Centre
หัวใจบรรจุเครื่องยนต์ V8 สูบ เทอร์โบ ขนาด 3.9 ลิตร ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับรางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีถึง 4 ปีซ้อน และได้รับคัดเลือกให้เป็นเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดในรอบ 2ทศวรรษอีกด้วย พละกำลังสูงสุด 720 แรงม้า เพิ่มขึ้นจากรุ่น 488 สไปเดอร์ ถึง 50 แรงม้า และมีน้ำหนักรวมเบากว่าถึง 20 กิโลกรัม
ส่วนแรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบดูอัล-คลัตช์ 7 สปีด น้ำหนักรถเปล่า 1400 กิโลกรัม อัตราส่วนการกระจายน้ำหนัก หน้า 41.5% และหลัง58.5% อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 2.9 วินาที อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม. ในเวลา 8.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 340 กม./ชม.
นอกจากนั้นในส่วนของห้องโดยสารยังมากับรูปแบบใหม่เน้นการใช้คาร์บอนไฟเบอร์เป็นหลัก พร้อมมาตรวัดแบบคลาสสิค จอระบบสัมผัส ที่สามารถควบคุมได้ง่าย พวงมาลัยรุ่นใหม่ขนาดเล็กลงแต่อัพเกรดระบบสั่งการเป็นเวอร์ชั่น6.1 ช่วยให้การสั่งงานต่างๆ ง่ายขึ้น
4 รอบกับสั้นๆแต่แตะ180 กม./ชม.
การขับในคราวนี้ทีมงานคาวาลลิโนเลือกใช้สนามปทุมธานี สปีดเวย์ ที่ค่อนข้างสั้นและมีโค้งแคบๆ เยอะ เหมาะกับการยิมคาน่ามากกว่าการขับเพื่อหาความเร็วสูงสุด รวมถึงการมีพื้นที่วิ่งไม่มากดังนั้นจึงต้องมีครูฝึกคอยช่วยบอกไลน์การขับนั่งติดรถไปด้วย
รอบแรกครูฝึกจะเป็นคนที่บอกไลน์และทดลองขับให้เรานั่งดูก่อน จากนั้นให้เราได้ขับสามรอบสนาม เพื่อลองปรับเปลี่ยนโหมดการขับจะได้รับทราบถึงความแตกต่างของโหมดต่างๆ โดยรอบแรกเป็นการขับในโหมด Wet รูปแบบการขับใหม่ที่ใส่เข้ามาครั้งแรกในรุ่นนี้ เนื่องจากก่อนการขับมีฝนตกลงมาอย่างหนักในช่วงเช้า ทำให้พื้นผิวบางช่วงยังมีน้ำขังอยู่
รอบที่เราขับช่วงแรกเป็นทางตรงยาวครูฝึกบอกว่ากดได้เต็มที่ความเร็วสูงสุดประมาณ 170 กม./ชม. แล้วจะต้องยกคันเร่งแตะเบรก เพราะสุดทางตรงเป็นโค้งหักศอก ห้ามขับเกินอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นอาจจะตกลงไปข้างแทร็คได้ เพราะสนามนี้ขนาดค่อนแคบ เหนือสิ่งอื่นใด จำไว้เสมอ ไม่ว่ารถจะใส่เทคโนโลยีดีเลิศขนาดไหน ถ้าขับเร็วเกินไป ระบบอะไรก็ไม่สามารถช่วยคุณได้
รอบแรกเราขับได้ความเร็วราว 170 กม./ชม. ก่อนเบรกหนัก การทรงตัวและอัตราเร่งดีเยี่ยม โดยเฉพาะจังหวะกดเบรกที่รถไม่เสียอาการ รวมถึงการกดคันเร่งแบบหนักๆ ช่วงออกตัว รถไม่มีการแกว่งหรือท้ายปัดเหมือนรุ่น 488 นับว่าเป็นสิ่งที่ช่วยให้เฟอร์รารี่ควบคุมง่ายขึ้น ทั้งที่พละกำลังมากขึ้นกว่าเดิม
จังหวะเร่งและเข้าโค้งต่างๆ ให้ความรู้สึกที่หนึบและแม่นยำ ไม่ต้องกลัวหลุด หากขับตามความเร็วที่ครูฝึกแนะนำ หลายๆ โค้งสามารถกดคันเร่งเพิ่มเกินกว่าที่ครูฝึกบอกได้ เรียกเป็นการขับที่สนุกสนาน มั่นใจได้ทุกการควบคุม มิต้องกังวลเฉกเช่นการขับเฟอร์รารี่รุ่นอื่นๆ โดยเฉพาะเวลาที่กดคันเร่งแบบกระทืบเรียกพลัง ต้องขอบคุณระบบช่วยออกตัวของเอฟ8 ที่ประมวลผลการยึดเกาะของยางเพื่อควบคุมแรงบิดให้เหมาะสมช่วยลดการลื่นไถลของล้อให้น้อยที่สุด
นอกจากนั้นยังมีระบบ Wall Effect ซึ่งทำหน้าที่จำกัดรอบของเครื่องยนต์ ไม่ให้สูงเกิน 8,000 รอบ/นาที เพื่อรักษาพละกำลังสูงสุดเอาไว้ โดยทำงานร่วมกับระบบจัดการแรงบิดแบบแปรผัน (Variable Torque Management) ทำให้การขับขี่ เอฟ8 สไปเดอร์ ดีขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับการขับรุ่น 488
สองรอบที่เหลือเราเปลี่ยนมาใช้โหมดการขับแบบสปอร์ต ความเร็วสูงสุดที่ทำได้จากจังหวะแอบมองคือ 180 กม./ชม. ก่อนจะเบรกหนักเพื่อเข้าโค้งแรก การตอบสนองดีขึ้น เร่งสนุกกว่าเดิม และยังเกาะโค้งไม่แตกต่างจากโหมดwetสักเท่าใด ส่วนหนึ่งมาจากผิวสนามที่ค่อนข้างแห้งแล้ว
หัวใจสำคัญของเฟอร์รารี่ เอฟ8 คงไม่ใช่เรื่องของอัตราการบริโภคน้ำมัน แต่เป็นความมสนุกสนานในการขับขี่และการควบคุมรถได้ดั่งใจต้องการแบบเนียนๆ แถมมีหลังคาแบบเปิดได้ ทำให้เจ้าของรถสามารถขับกินลมในช่วงฤดูหนาว(ที่แม้จะมีไม่กี่วันในไทย)ได้อย่างเพลิดเพลิน รวมถึงค่าตัวในการปล่อยออกเป็นมือสองนั้น จะได้มูลค่าที่มากกว่ารถแบบหลังคาแข็งทั่วไปอีกด้วย
เหมาะกับใคร
Ferrari Collector ทุกคนที่คิดจะมี เอฟ8 และเราแนะนำให้ซื้อ เอฟ8 สไปเดอร์ เพราะนี่คือรถที่ใช้เครื่องยนต์รุ่นสุดท้ายของเฟอร์รารี่ หลังจากครบอายุการทำตลาดของรุ่นนี้แล้ว เฟอร์รารี่จะมากับรถในรูปแบบของไฮบริดที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามามีส่วนร่วม ดังนั้นหากคุณคือนักสะสม นี่คือเฟอร์รารี่ที่คุณต้องมีอยู่ในโรงจอดรถ