นับตั้งแต่เปิดตัว โฉมไมเนอร์เชนจ์เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา “โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์” มียอดจองสะสมมาจนถึงต้นเดือนสิงหาคมราว 6,800 คัน แบ่งเป็นรุ่น Base 3,000 และรุ่น Legender 3,800 คัน เรียกว่ายังคงรักษาความเป็นเบอร์หนึ่งเอาไว้ได้ ซึ่งฟอร์จูนเนอร์นั้นได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งของรถแบบพีพีวีมาอย่างยาวนาน
ทั้งนี้การส่งมอบ ฟอร์จูนเนอร์ Legender เริ่มต้นในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ตามการประกาศของผู้บริหารโตโยต้าที่กล่าวไว้เมื่อครั้งเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยเมื่อรถเสร็จสมบูรณ์พร้อมให้ลูกค้าได้ใช้งาน โตโยต้าจึงได้เชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมกิจกรรทดลองขับ ฟอร์จูนเนอร์ Legender ที่ได้รับการปรับปรุงหลายรายการ ผลลัพธ์เป็นอย่างไรเชิญติดตามกันได้
ปรับหัวใจเพิ่มแรง เน้นประหยัด
แม้จะเป็นเพียงการไมเนอร์เชนจ์ของ ฟอร์จูนเนอร์ Legender แต่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนที่มีนัยยะสำคัญอย่างมาก เพราะเปลี่ยนทั้งภายนอกแบบชัดเจนและเครื่องยนต์ที่ยกระดับขึ้นมา เริ่มกันที่มีการเปลี่ยนชุดกระจังหน้าและกันชนท้ายดีไซน์ใหม่ ไฟหน้า DayTime Running Light แบบ Light Guiding ที่มาพร้อมกับไฟเลี้ยว LED แบบ Sequential ไฟสูงและไฟต่ำแบบ LEDนอกจากนี้ยังปรับเปลี่ยนลายล้ออัลลอยแต่ยังคงขนาด 20 นิ้วเช่นเดียวกับรุ่นทีอาร์ดี สปอร์ตติโว และเสริมด้วยทางเลือกหลังคาทูโทน
หัวใจมีให้เลือก 2 ขนาดคือ ดีเซล 2.8 ลิตรและ 2.4 ลิตร โดยเครื่องยนต์ดีเซลแบบ2.8 ลิตร จะมีการเปลี่ยนที่ชัดเจนมากกว่าคือ ปรับเพิ่มกำลังสูงสุดเป็น 204 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที พร้อมเพิ่มเพลาปรับสมดุล (Balance Shaft) ช่วยลดเสียงและแรงสั่นสะเทือนที่ส่งเข้าสู่ห้องโดยสาร ซึ่งรุ่นเครื่องยนต์ 2.4 ลิตรจะไม่มีการติดตั้งเพลาปรับสมดุลนี้ และมีกำลังเท่าเดิมคือ 150 แรงม้า
ชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์หลายส่วนมีการปรับเปลี่ยนใหม่ เพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้น เช่น เทอร์โบใหม่ใหญ่กว่าเดิม ทำให้กำลังสูงสุดมาในรอบที่กว้างขึ้น การปรับระบบควบคุมการสั่งการของเกียร์ใหม่เพื่อการส่งกำลังที่ต่อเนื่องและนุ่มนวลกว่า ทำให้ผลลัพธ์ในด้านการประหยัดน้ำมันจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการยืนยันประหยัดกว่าเดิมเฉลี่ยราว 5% และจากการทดลองขับจริง(ของทีมวิศวกรโตโยต้า) ดีขึ้นกว่าเดิมราว 11%
นอกจากนั้น เครื่องยนต์ยังมีการปรับลดความเร็วรอบเดินเบา (จาก 850 รอบต่อนาที เป็น 680 รอบต่อนาที) เพื่อช่วยให้การลุยเส้นทาง Off-Road มั่นคง ราบรื่นยิ่งขึ้น พร้อมระบบแสดงข้อมูลตำแหน่งองศาของล้อบนหน้าจอ MID และติดตั้งสัญญาณเตือนกะระยะด้านท้าย และมุมกันชนหน้า-หลัง ช่วยตรวจสอบสิ่งกีดขวางรอบข้างขณะขับขี่
ทั้งนี้ ยังเพิ่มระบบบังคับเลี้ยวแบบ VFC (Variable Flow Control) ควบคุมพวงมาลัยแปรผันตามระดับความเร็วและเพิ่ม Sport Mode เพื่อให้การขับขี่ที่สนุกสนาน ด้วยการปรับการทำงานของคันเร่งให้ตอบสนองเร็วยิ่งขึ้น และปรับการทำงานของพวงมาลัยให้มีน้ำหนักมากขึ้น เหมาะสำหรับการเร่งแซงและการขับขี่ที่ใช้ความเร็วสูง
ภายในห้องโดยสารนั้น เป็นการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยเช่น หน้าจอแสดงผลแบบใหม่ ที่ให้รายละเอียดข้อมูลมากขึ้น จอความบันเทิงใหม่ขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple Carplay อย่างเป็นทางการและสามารถใช้งาน Android Auto 10 ได้ (ไม่เป็นทางการ) พร้อมเพิ่มช่อง USB ที่คอนโซลกลาง และติดตั้งลำโพง JBL 11 ตำแหน่ง
นั่งหลังสบายขึ้น ออฟโรดมั่นใจ
การทดลองขับ ฟอร์จูนเนอร์ Legender ทุกคันในขบวนนั้นเป็นรุ่น 2.8 ขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยเริ่มต้นจาก TDEX ของโตโยต้า มุ่งหน้าเขาระเบิด จ.ชลบุรี เพื่อไปมอบถังบรรจุน้ำขนาด 5,000 ลิตรให้กับเจ้าหน้าที่ เส้นทางการขับใช้ทั้งทางด่วน ทางถนนปกติ และถนนแบบออฟโรด ที่มีฝนตกหนักก่อนหน้า 1 วัน
ช่วงออกตัวได้ลองหลายครั้ง รวมถึงการกดคันเร่งแบบคิกดาวน์ สารภาพตามตรง ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างของความแรงที่เพิ่มขึ้นจากกำลัง 204 แรงม้า แต่สิ่งที่สัมผัสได้ว่าแตกต่างจากโฉมก่อนหน้าคือ การเร่งที่เนียนและต่อเนื่องนานขึ้น ไม่พุ่งหรือกระชากเหมือนที่เคยขับ รวมถึงการทรงตัวในทุกย่านความเร็วที่รู้สึกได้ว่านิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก
ซึ่งความนิ่งดังกล่าววัดผลแบบชัดเจนได้จากการนั่งทางด้านเบาะหลังทั้งแถวที่สองและแถวที่สาม โดยระยะทางเกือบ 100 กม.ที่ “พี่บอย วรพล สิงเขียวพงษ์” นั่งเบาะแถวที่สามมานั้น พี่บอยยืนยันว่า นั่งได้ไม่เมื่อยและไม่เวียนหัว ตัวเบาะหนา นุ่มดีที่สุดในรถประเภทเดียวกัน ขณะที่ผู้เขียนได้ลองสลับนั่งเบาะแถวสองพบว่า สบายและนิ่งกว่าเดิมจะมีเพียงเรื่องของเสียงดังรบกวนจากลมเท่านั้นที่ดังกว่าเบาะนั่งแถวแรก
เมื่อสอบถามทีมวิศวกรผู้พัฒนาว่า มีการปรับเปลี่ยนช่วงล่างหรือไม่ คำตอบคือใช้ชุดเดิมที่ยกมาจากรุ่น ทีอาร์ดี สปอร์ติโว มีเพียงการเปลี่ยนชิ้นส่วนเครื่องยนต์และการปรับค่าต่างๆ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นเท่านั้น รวมถึงมีการเพิ่มวัสดุดูดซับเสียง ป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกเพิ่มเติม ที่รับรู้ได้ทันทีเมื่ออยู่ในตำแหน่งผู้ขับขี่
ความเร็วที่ใช้ในการเดินทางอยู่ระหว่าง 100-120 กม./ชม. แทบไม่มีเสียงลมหรือเสียงยางบดถนนให้ได้ยิน แต่หากขับเร็วเกิน 120 กม./ชม. เมื่อใดเสียงต่างๆ จะเริ่มดังให้ได้ยินมากขึ้นตามความเร็วที่เพิ่มขึ้น ความเร็วสูงสุดที่เราลองขับได้ราว 150 กม./ชม. รถทรงตัวดี การแกว่งหรือโยนตัวนั้นน้อยลงไปมาก เรียกว่าปรับปรุงรอบนี้ประทับใจกว่าเดิม
จังหวะเร่งแซงทันใจหายห่วงตามสไตล์ของฟอร์จูนเนอร์ แต่จะลดความกระชากลงไปพอสมควร ส่วนการใช้งานโหมดสปอร์ตนั้น ผู้เขียนลองปรับมาใช้เพียงชั่วขณะหนึ่งแล้วพบว่า รอบเครื่องยนต์จะสูงกว่าการใช้งานโหมดปกติมากเกินไป จึงปรับกลับมาใช้โหมดธรรมดา ให้ความรู้สึกที่เนียนกว่า
เมื่อมาถึงทางเข้าเขาระเบิด ที่เป็นจุดเริ่มต้นทางแบบออฟโรด จุดหมายคืยออดเขาที่เป็นลานกีฬาร่มบิน ระหว่างทางมีจุดวัดใจหนึ่งจุดที่เราได้ยินเขาเรียกว่า “อ่างแก้ว” ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลต์ของการขึ้น-ลงสถานที่แห่งนี้ จะได้ไปต่อหรือต้องวกรถกลับคือจุดตรงนี้ เหนือสิ่งอื่นใด ฝนที่ตกกระหน่ำหนัก 1 วันก่อนหน้าที่เรามาถึง ทำให้สภาพดินกลายเป็นโคลน รถที่สวนกลับออกมาทักทายขบวนของเราว่า “พี่จะผ่านไปได้หรอ ขนาดผมยางมัดยังเกือบไม่รอด”
ที่เขากล่าวเช่นนั้นเพราะเห็นพวกเราใช้ยางเดิมติดรถมาตรฐาน ซึ่งไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการลุยในสภาพเช่นนี้ แต่เพื่อพิสูจน์ว่า โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ Legender ผ่านไปได้หรือไม่ จึงต้องลองกันดู คันแรกของทีมงานผ่านไปแบบได้แบบลุ้นสนุก คันของผู้เขียนอยู่ในลำดับที่สี่ ประเมินว่าน่าจะผ่านได้เพราะทางยังไม่เละมาก เดาว่าคันท้ายๆ อาจจะต้องพึ่งพารถที่ติดวินซ์สำหรับดึงที่จอดรอเอาไว้ก็เป็นได้
ทันทีที่ไหลรถลงไปถึงจุดต่ำสุดสภาพเละเป็นโคลน เรียนตามตรงว่า ระบบของตัวรถนั้นช่วยเราได้มากกว่าทักษะที่เราใช้ขับ และเมื่อถึงจุดไต่ทางขึ้นที่เป็นร่องโคลน ได้ยินเสียงการตัดต่อกำลังของระบบที่ทำงานเพื่อช่วยพาเราผ่านอุปสรรคไปได้แบบไม่ยากเย็นเพียงแค่เติมคันเร่ง เลี้ยงพวงมาลัย ไม่หลงทิศ หรือหากกลัวหลงก็เพียงเปลี่ยนหน้าจอ MID ให้แสดงผลทิศทางของล้อ เท่านี้ก็ช่วยให้ผ่านอุปสรรคได้โดยง่าย
เมื่อผ่านจุดนั้นมาได้ ที่เหลือคือง่ายแล้วแม้ทางจะเป็นร่องลึกและชันมาก แต่สภาพดินแข็งทำให้การบังคับควบคุมสบายๆ พวงมาลัยแม้จะยังเป็นแบบพาวเวอร์ไฮดรอลิก ไม่ใช่ไฟฟ้า แต่แม่นยำใช้งานได้เป็นยังดี และมีจุดเด่นในแง่ของการซ่อมบำรุงดูแลที่ง่ายกว่าการใช้พวงมาลัยไฟฟ้า
สรุปรวมแล้วทุกคันผ่านมาถึงยอดเขาได้ โดยไม่ได้รับความเสียหาย ขากลับถามเจ้าหน้าที่ว่า กลับอย่างไร คำตอบคือ กลับทางเดิม ทำให้บางท่านรู้สึกหนักใจ แต่เรามั่นใจว่า ฟอร์จูนเนอร์ Legender ผ่านได้สบาย และสุดท้ายทุกคันกลับออกมาได้แบบรถไม่เสียหายแถมได้โคลนกลับมาเต็มล้อ
ส่วนตัวเลขอัตราการบริโภคน้ำมันนั้นรอบนี้ไม่ได้เก็บแบบจริงจัง มีเพียงการสังเกตุบนหน้าจอช่วงแรกของการเดินทางเมื่อถึงจุดก่อนเข้าเส้นทางออฟโรด ตัวเลขหน้าจอระบุ 11.3 กม./ลิตร กับระยะการวิ่งเกือบ 100 กม. ด้วยความเร็วไม่เกินที่กฎหมายกำหนด ไม่มีตัวเลขใช้งานในเมืองเพราะไม่ได้ขับในเมืองแต่อย่างใด
เหมาะกับใคร
นักเดินทางทุกคนที่ต้องใช้รถเข้าตรวจพื้นที่หรือต้องลุยไปในจุดที่ไม่อาจจะคาดเดาได้ และยังอยากได้รถที่ขับบนถนนได้อย่างนุ่มนวล อัตราเร่งทันใจ เหมาะเดินทางยาวๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องของการดูแล อะไหล่หาได้ง่ายทุกที่ ช่างทุกคนซ่อมได้ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ Legender 2.8 ขับสี่ ไปได้ทุกที่อย่างที่กล่าวมา
ทั้งนี้การส่งมอบ ฟอร์จูนเนอร์ Legender เริ่มต้นในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ตามการประกาศของผู้บริหารโตโยต้าที่กล่าวไว้เมื่อครั้งเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยเมื่อรถเสร็จสมบูรณ์พร้อมให้ลูกค้าได้ใช้งาน โตโยต้าจึงได้เชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมกิจกรรทดลองขับ ฟอร์จูนเนอร์ Legender ที่ได้รับการปรับปรุงหลายรายการ ผลลัพธ์เป็นอย่างไรเชิญติดตามกันได้
ปรับหัวใจเพิ่มแรง เน้นประหยัด
แม้จะเป็นเพียงการไมเนอร์เชนจ์ของ ฟอร์จูนเนอร์ Legender แต่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนที่มีนัยยะสำคัญอย่างมาก เพราะเปลี่ยนทั้งภายนอกแบบชัดเจนและเครื่องยนต์ที่ยกระดับขึ้นมา เริ่มกันที่มีการเปลี่ยนชุดกระจังหน้าและกันชนท้ายดีไซน์ใหม่ ไฟหน้า DayTime Running Light แบบ Light Guiding ที่มาพร้อมกับไฟเลี้ยว LED แบบ Sequential ไฟสูงและไฟต่ำแบบ LEDนอกจากนี้ยังปรับเปลี่ยนลายล้ออัลลอยแต่ยังคงขนาด 20 นิ้วเช่นเดียวกับรุ่นทีอาร์ดี สปอร์ตติโว และเสริมด้วยทางเลือกหลังคาทูโทน
หัวใจมีให้เลือก 2 ขนาดคือ ดีเซล 2.8 ลิตรและ 2.4 ลิตร โดยเครื่องยนต์ดีเซลแบบ2.8 ลิตร จะมีการเปลี่ยนที่ชัดเจนมากกว่าคือ ปรับเพิ่มกำลังสูงสุดเป็น 204 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที พร้อมเพิ่มเพลาปรับสมดุล (Balance Shaft) ช่วยลดเสียงและแรงสั่นสะเทือนที่ส่งเข้าสู่ห้องโดยสาร ซึ่งรุ่นเครื่องยนต์ 2.4 ลิตรจะไม่มีการติดตั้งเพลาปรับสมดุลนี้ และมีกำลังเท่าเดิมคือ 150 แรงม้า
ชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์หลายส่วนมีการปรับเปลี่ยนใหม่ เพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้น เช่น เทอร์โบใหม่ใหญ่กว่าเดิม ทำให้กำลังสูงสุดมาในรอบที่กว้างขึ้น การปรับระบบควบคุมการสั่งการของเกียร์ใหม่เพื่อการส่งกำลังที่ต่อเนื่องและนุ่มนวลกว่า ทำให้ผลลัพธ์ในด้านการประหยัดน้ำมันจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการยืนยันประหยัดกว่าเดิมเฉลี่ยราว 5% และจากการทดลองขับจริง(ของทีมวิศวกรโตโยต้า) ดีขึ้นกว่าเดิมราว 11%
นอกจากนั้น เครื่องยนต์ยังมีการปรับลดความเร็วรอบเดินเบา (จาก 850 รอบต่อนาที เป็น 680 รอบต่อนาที) เพื่อช่วยให้การลุยเส้นทาง Off-Road มั่นคง ราบรื่นยิ่งขึ้น พร้อมระบบแสดงข้อมูลตำแหน่งองศาของล้อบนหน้าจอ MID และติดตั้งสัญญาณเตือนกะระยะด้านท้าย และมุมกันชนหน้า-หลัง ช่วยตรวจสอบสิ่งกีดขวางรอบข้างขณะขับขี่
ทั้งนี้ ยังเพิ่มระบบบังคับเลี้ยวแบบ VFC (Variable Flow Control) ควบคุมพวงมาลัยแปรผันตามระดับความเร็วและเพิ่ม Sport Mode เพื่อให้การขับขี่ที่สนุกสนาน ด้วยการปรับการทำงานของคันเร่งให้ตอบสนองเร็วยิ่งขึ้น และปรับการทำงานของพวงมาลัยให้มีน้ำหนักมากขึ้น เหมาะสำหรับการเร่งแซงและการขับขี่ที่ใช้ความเร็วสูง
ภายในห้องโดยสารนั้น เป็นการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยเช่น หน้าจอแสดงผลแบบใหม่ ที่ให้รายละเอียดข้อมูลมากขึ้น จอความบันเทิงใหม่ขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple Carplay อย่างเป็นทางการและสามารถใช้งาน Android Auto 10 ได้ (ไม่เป็นทางการ) พร้อมเพิ่มช่อง USB ที่คอนโซลกลาง และติดตั้งลำโพง JBL 11 ตำแหน่ง
นั่งหลังสบายขึ้น ออฟโรดมั่นใจ
การทดลองขับ ฟอร์จูนเนอร์ Legender ทุกคันในขบวนนั้นเป็นรุ่น 2.8 ขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยเริ่มต้นจาก TDEX ของโตโยต้า มุ่งหน้าเขาระเบิด จ.ชลบุรี เพื่อไปมอบถังบรรจุน้ำขนาด 5,000 ลิตรให้กับเจ้าหน้าที่ เส้นทางการขับใช้ทั้งทางด่วน ทางถนนปกติ และถนนแบบออฟโรด ที่มีฝนตกหนักก่อนหน้า 1 วัน
ช่วงออกตัวได้ลองหลายครั้ง รวมถึงการกดคันเร่งแบบคิกดาวน์ สารภาพตามตรง ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างของความแรงที่เพิ่มขึ้นจากกำลัง 204 แรงม้า แต่สิ่งที่สัมผัสได้ว่าแตกต่างจากโฉมก่อนหน้าคือ การเร่งที่เนียนและต่อเนื่องนานขึ้น ไม่พุ่งหรือกระชากเหมือนที่เคยขับ รวมถึงการทรงตัวในทุกย่านความเร็วที่รู้สึกได้ว่านิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก
ซึ่งความนิ่งดังกล่าววัดผลแบบชัดเจนได้จากการนั่งทางด้านเบาะหลังทั้งแถวที่สองและแถวที่สาม โดยระยะทางเกือบ 100 กม.ที่ “พี่บอย วรพล สิงเขียวพงษ์” นั่งเบาะแถวที่สามมานั้น พี่บอยยืนยันว่า นั่งได้ไม่เมื่อยและไม่เวียนหัว ตัวเบาะหนา นุ่มดีที่สุดในรถประเภทเดียวกัน ขณะที่ผู้เขียนได้ลองสลับนั่งเบาะแถวสองพบว่า สบายและนิ่งกว่าเดิมจะมีเพียงเรื่องของเสียงดังรบกวนจากลมเท่านั้นที่ดังกว่าเบาะนั่งแถวแรก
เมื่อสอบถามทีมวิศวกรผู้พัฒนาว่า มีการปรับเปลี่ยนช่วงล่างหรือไม่ คำตอบคือใช้ชุดเดิมที่ยกมาจากรุ่น ทีอาร์ดี สปอร์ติโว มีเพียงการเปลี่ยนชิ้นส่วนเครื่องยนต์และการปรับค่าต่างๆ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นเท่านั้น รวมถึงมีการเพิ่มวัสดุดูดซับเสียง ป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกเพิ่มเติม ที่รับรู้ได้ทันทีเมื่ออยู่ในตำแหน่งผู้ขับขี่
ความเร็วที่ใช้ในการเดินทางอยู่ระหว่าง 100-120 กม./ชม. แทบไม่มีเสียงลมหรือเสียงยางบดถนนให้ได้ยิน แต่หากขับเร็วเกิน 120 กม./ชม. เมื่อใดเสียงต่างๆ จะเริ่มดังให้ได้ยินมากขึ้นตามความเร็วที่เพิ่มขึ้น ความเร็วสูงสุดที่เราลองขับได้ราว 150 กม./ชม. รถทรงตัวดี การแกว่งหรือโยนตัวนั้นน้อยลงไปมาก เรียกว่าปรับปรุงรอบนี้ประทับใจกว่าเดิม
จังหวะเร่งแซงทันใจหายห่วงตามสไตล์ของฟอร์จูนเนอร์ แต่จะลดความกระชากลงไปพอสมควร ส่วนการใช้งานโหมดสปอร์ตนั้น ผู้เขียนลองปรับมาใช้เพียงชั่วขณะหนึ่งแล้วพบว่า รอบเครื่องยนต์จะสูงกว่าการใช้งานโหมดปกติมากเกินไป จึงปรับกลับมาใช้โหมดธรรมดา ให้ความรู้สึกที่เนียนกว่า
เมื่อมาถึงทางเข้าเขาระเบิด ที่เป็นจุดเริ่มต้นทางแบบออฟโรด จุดหมายคืยออดเขาที่เป็นลานกีฬาร่มบิน ระหว่างทางมีจุดวัดใจหนึ่งจุดที่เราได้ยินเขาเรียกว่า “อ่างแก้ว” ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลต์ของการขึ้น-ลงสถานที่แห่งนี้ จะได้ไปต่อหรือต้องวกรถกลับคือจุดตรงนี้ เหนือสิ่งอื่นใด ฝนที่ตกกระหน่ำหนัก 1 วันก่อนหน้าที่เรามาถึง ทำให้สภาพดินกลายเป็นโคลน รถที่สวนกลับออกมาทักทายขบวนของเราว่า “พี่จะผ่านไปได้หรอ ขนาดผมยางมัดยังเกือบไม่รอด”
ที่เขากล่าวเช่นนั้นเพราะเห็นพวกเราใช้ยางเดิมติดรถมาตรฐาน ซึ่งไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการลุยในสภาพเช่นนี้ แต่เพื่อพิสูจน์ว่า โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ Legender ผ่านไปได้หรือไม่ จึงต้องลองกันดู คันแรกของทีมงานผ่านไปแบบได้แบบลุ้นสนุก คันของผู้เขียนอยู่ในลำดับที่สี่ ประเมินว่าน่าจะผ่านได้เพราะทางยังไม่เละมาก เดาว่าคันท้ายๆ อาจจะต้องพึ่งพารถที่ติดวินซ์สำหรับดึงที่จอดรอเอาไว้ก็เป็นได้
ทันทีที่ไหลรถลงไปถึงจุดต่ำสุดสภาพเละเป็นโคลน เรียนตามตรงว่า ระบบของตัวรถนั้นช่วยเราได้มากกว่าทักษะที่เราใช้ขับ และเมื่อถึงจุดไต่ทางขึ้นที่เป็นร่องโคลน ได้ยินเสียงการตัดต่อกำลังของระบบที่ทำงานเพื่อช่วยพาเราผ่านอุปสรรคไปได้แบบไม่ยากเย็นเพียงแค่เติมคันเร่ง เลี้ยงพวงมาลัย ไม่หลงทิศ หรือหากกลัวหลงก็เพียงเปลี่ยนหน้าจอ MID ให้แสดงผลทิศทางของล้อ เท่านี้ก็ช่วยให้ผ่านอุปสรรคได้โดยง่าย
เมื่อผ่านจุดนั้นมาได้ ที่เหลือคือง่ายแล้วแม้ทางจะเป็นร่องลึกและชันมาก แต่สภาพดินแข็งทำให้การบังคับควบคุมสบายๆ พวงมาลัยแม้จะยังเป็นแบบพาวเวอร์ไฮดรอลิก ไม่ใช่ไฟฟ้า แต่แม่นยำใช้งานได้เป็นยังดี และมีจุดเด่นในแง่ของการซ่อมบำรุงดูแลที่ง่ายกว่าการใช้พวงมาลัยไฟฟ้า
สรุปรวมแล้วทุกคันผ่านมาถึงยอดเขาได้ โดยไม่ได้รับความเสียหาย ขากลับถามเจ้าหน้าที่ว่า กลับอย่างไร คำตอบคือ กลับทางเดิม ทำให้บางท่านรู้สึกหนักใจ แต่เรามั่นใจว่า ฟอร์จูนเนอร์ Legender ผ่านได้สบาย และสุดท้ายทุกคันกลับออกมาได้แบบรถไม่เสียหายแถมได้โคลนกลับมาเต็มล้อ
ส่วนตัวเลขอัตราการบริโภคน้ำมันนั้นรอบนี้ไม่ได้เก็บแบบจริงจัง มีเพียงการสังเกตุบนหน้าจอช่วงแรกของการเดินทางเมื่อถึงจุดก่อนเข้าเส้นทางออฟโรด ตัวเลขหน้าจอระบุ 11.3 กม./ลิตร กับระยะการวิ่งเกือบ 100 กม. ด้วยความเร็วไม่เกินที่กฎหมายกำหนด ไม่มีตัวเลขใช้งานในเมืองเพราะไม่ได้ขับในเมืองแต่อย่างใด
เหมาะกับใคร
นักเดินทางทุกคนที่ต้องใช้รถเข้าตรวจพื้นที่หรือต้องลุยไปในจุดที่ไม่อาจจะคาดเดาได้ และยังอยากได้รถที่ขับบนถนนได้อย่างนุ่มนวล อัตราเร่งทันใจ เหมาะเดินทางยาวๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องของการดูแล อะไหล่หาได้ง่ายทุกที่ ช่างทุกคนซ่อมได้ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ Legender 2.8 ขับสี่ ไปได้ทุกที่อย่างที่กล่าวมา