สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ของประเทศไทยในเวลานี้เริ่มคลี่คลายเข้าสู่สภาวะเกือบปกติ100% ส่งผลให้กิจกรรมต่างๆ เริ่มกลับมาดำเนินการอีกครั้งหนึ่ง และหลังจากการผ่อนปรนเริ่มต้นขึ้นค่ายรถยนต์ต่างๆมีการเปิดตัวสินค้าใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมามีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ระดับซูเปอร์คาร์ และรถหรูหราราคาเกิน 20 ล้านบาท ถึง 5 รุ่นจาก 4 แบรนด์ ส่วนจะมีรุ่นใดบ้าง เชิญติดตาม
Ferrari SF90Stradale
บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์เฟอร์รารี่ในประเทศไทย เปิดตัว เอสเอฟ90 สตาเดเล่ (SF90Stradale) โดยที่มาของชื่อ SF90Stradaleนั้นบ่งบอกถึงนัยสำคัญของเฟอร์รารี่ โดยตัวเลข ‘90’ อ้างอิงถึงวันครบรอบ 90 ปีของการก่อตั้ง Scuderia Ferrari (สคูเดเรียเฟอร์รารี่) ทีมแข่งรถฟอร์มูล่าวันของเฟอร์รารี่นั่นเอง
เอสเอฟ90 สตาเดเล่ มีแรงบันดาลใจการออกแบบจากเฟอร์รารี่รุ่น360 โมเดน่า รถสปอร์ตหลังคาแข็งเครื่องยนต์วางกลาง โดยทีมออกแบบได้เปลี่ยนสไตล์ใหม่ เช่น การปรับขนาดพื้นที่ และการจัดวางห้องโดยสารไว้ใกล้กับส่วนหน้ารถมากขึ้น เพื่อช่วยลดแรงต้านอากาศ
ความโดดเด่นของ เอสเอฟ90 สตาเดเล่ คือเป็นรถรุ่นแรกของเฟอร์รารี่ ที่มากับระบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่ผสานระหว่าง เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบชาร์จ ขนาด 4.0 ลิตรและมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 3 ตัว (หน้า2 หลัง1)โดยเครื่องยนต์มีกำลังสูงสุดอยู่ 780 แรงม้า ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้ามีกำลังสูงสุด 220 แรงม้า ทำให้กำลังรวมสูงสุดถึง 1,000 แรงม้า แรงบิดสูงสุดรวม 800 นิวตันเมตรแบตเตอรี่ของเป็นแบบลิเทียม-ไอออน ความจุ 9.7 kWh สามารถขับขี่ในโหมดไฟฟ้าล้วนได้เป็นระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตร และทำความเร็วสูงสุดในโหมดไฟฟ้าได้ราว 130 กม./ชม. ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเทคโนโลยีที่เฟอร์รารี่ได้มาจากการแข่งขันฟอร์มูล่าวัน
ด้านสมรรถนะเอสเอฟ90 สตาเดเล่ ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ 8 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.5 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 340 กม./ชม. นับว่าเป็นรถในสายการผลิตปกติที่แรงที่สุดเท่าที่เฟอร์รารี่เคยผลิตมา
นอกจากนั้นยังมาพร้อมเทคโนโลยี Keyless ใหม่ นับเป็นครั้งแรกของเฟอร์รารี่ด้วย โดยช่องเสียบกุญแจรีโมตออกแบบมาเป็นพิเศษช่วยให้กุญแจดูเป็นส่วนหนึ่งกับรถมากขึ้น ส่งผลให้ เอสเอฟ90 สตาเดเล่ คว้ารางวัลอันทรงเกียรติ ‘Best of the Best’ หรือที่สุดแห่งดีไซน์จาก Red Dot Award ประจำปี 2020 อีกด้วย
สำหรับราคาของเฟอร์รารี่ SF90Stradaleเริ่มต้นที่ 40,900,000 บาท โดยมี การรับประกัน ฟรี 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และการดูแลบำรุงรักษาฟรี 7 ปี
Ferrari Roma
คาวาลลิโน มอเตอร์ ยังคงสร้างกระแสต่อเนื่องด้วยการเปิดตัวรถสปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุด "เฟอร์รารี่ โรมา" (Ferrari Roma) โดยเว้นระยะห่างเพียงไม่กี่วันจากรุ่นก่อนหน้า
เฟอร์รารี่ โรมา เป็นรถสปอร์ตแบบ 2+2 ที่นั่งสไตล์เฉพาะตัวตามแบบฉบับอิตาเลียนขนานแท้ สะท้อนภาพวิถีชีวิตอันสมบูรณ์ด้วยความสุขของกรุงโรมยุค ‘50s และ ‘60s ซึ่งที่มาของชื่อ “โรมา” การออกแบบภายนอกเป็นฝีมือของ เฟอร์รารี่ สไตลิ่ง เซนเตอร์ (Ferrari Styling Centre) ด้วยแนวคิด La Nuova Dolce Vita เรียบง่ายสะอาดตา
รูปโฉมของตัวถังเริ่มจากเส้นสายลากยาวจากฝากระโปรงหน้าเน้นแสงเงา ไปสู่ช่วงห้องโดยสารที่มีขนาดกะทัดรัดและลาดเอียงไปจดท้ายรถ มีการลดรายละเอียดบางส่วนออกไปเพื่อเน้นย้ำสไตล์แบบมินิมอลให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น กระจังหน้าแบบใหม่ที่มีช่องรับลมสำหรับระบายความร้อนหม้อน้ำ ชุดไฟหน้าแบบเมทริกซ์แอลอีดีปรับลำแสงได้ (Full-LED adaptive headlights) กระจกหลังโอบล้อมห้องโดยสารส่วนท้ายของรถ เก็บซ่อนสปอยเลอร์แบบแอกทีฟเข้าไว้ได้อย่างแนบเนียน ขณะที่ชุดไฟท้ายคู่ก็ถูกออกแบบให้ดูราวกับอัญมณีที่เปล่งประกาย
เครื่องยนต์วางกลางทางด้านหน้าแบบ V8 เทอร์โบ ขนาด 3.9 ลิตร กำลังสูงสุด 620 แรงม้า ที่ 7,500 รอบ/นาที ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ตระกูล V8 ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ International Engine of the Year ถึง 4 ปีซ้อน มาพร้อมกับระบบควบคุมแรงบูสต์แบบแปรผัน (VariableBoost Management) ช่วยให้คันเร่งตอบสนองฉับไวในทุกจังหวะความเร็ว นอกจากนั้น ระบบไอเสียยังได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ด้วยการเปลี่ยนจากหม้อพักไอเสียมาเป็นการใช้บายพาสวาล์วแบบใหม่แทน
ระบบส่งกำลังใหม่แบบ 8 สปีดคลัตช์คู่ ขนาดกะทัดรัดและเบากว่าเกียร์ 7 สปีดรุ่นที่แล้วถึง 6 กิโลกรัม ระบบควบคุมประสิทธิภาพการทรงตัวอันล้ำสมัยใหม่ล่าสุดของเฟอร์รารี่ เช่น ระบบควบคุมการลื่นไถลด้านข้างเวอร์ชัน 6.0 (Side Slip Control 6.0) ซึ่งถือเป็นสปอร์ตคาร์จีทีคันแรกของเฟอร์รารี่ที่ใช้ระบบนี้
ห้องโดยสารของ เฟอร์รารี่ โรมา มีรูปแบบแบ่งแยกฝั่งผู้ขับและผู้โดยสารออกจากกันเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน พวงมาลัยดีไซน์ใหม่ตามหลักปรัชญา “สายตาอยู่ที่ถนนเบื้องหน้า มือจับบนพวงมาลัย” หน้าปัดใหม่เป็นจอแสดงผลแบบดิจิทัลขนาด 16 นิ้ว ให้ข้อมูลที่จำเป็นได้อย่างครบถ้วน ส่วนจอแสดงผลกลางมีขนาด 8.4 นิ้ว แนวตั้ง รวมทั้งจอฝั่งผู้โดยสาร ออกแบบมาให้ใช้งานสะดวกและเข้าใจง่าย
กุญแจแบบใหม่ของเฟอร์รารี่มาพร้อมกับฟังก์ชัน “Comfort Access” ช่วยให้ผู้ขับสามารถเปิดรถได้ด้วยการสัมผัสปุ่มซึ่งติดตั้งอยู่ถัดจากมือเปิดประตูแบบใหม่ที่แนบสนิทไปกับตัวรถเสริมความปลอดภัยด้วย ระบบช่วยเหลือขณะขับขี่ (ADAS – Advanced Driver Assistance System) ซึ่งนั่นรวมถึงระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบปรับความเร็วตามคันหน้า
เฟอร์รารี่ โรม่า เปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้น 21,230,000 บาท พร้อมส่งมอบได้ราวต้นปีหน้า
Maserati Levante Trofeo Launch Edition
มาเซราติ ประเทศไทย เปิดตัว “เลอวานเต้ โทรเฟโอ ลอนช์เอดิชั่น (LevanteTrofeo Launch Edition ) นับเป็นที่สุดของลักชัวรี่เอสยูวียอดนิยมของ “มาเซราติ” ที่ผลิตจำกัดเพียง 100 คัน ทั่วโลก และมีเพียง 1 เดียวในประเทศไทย
ภายนอกของ โทรเฟโอ ลอนช์เอดิชั่น ถูกเพิ่มความสปอร์ตยิ่งขึ้นกว่ารุ่นปกติ ด้วยตัวถังพ่นสีน้ำเงินด้าน ‘BluEmozione Matte’ ที่มีเฉพาะรุ่นพิเศษคันนี้เท่านั้น ผสานชุดแต่ง Nerissimo Package และไฟหน้าแบบฟูลเมทริกซ์แอลอีดี ฝากระโปรงหน้าคาร์บอนไฟเบอร์พร้อมช่องระบายอากาศ
ฝาครอบเครื่องยนต์ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์มันวาว พร้อมสัญลักษณ์ V8 และโลโก้ตรีศูล ส่วนฝาสูบและท่อไอดีก็ถูกพ่นสีแดงให้ดูสปอร์ต ขณะที่ด้านหลัง ติดตั้งโลโก้สัญลักษณ์ ‘SaettaTrofeo’ บริเวณเสาซีพร้อมตกแต่งด้วยเพลตคาร์บอนไฟเบอร์และสปอยเลอร์กันชนหลังสีเดียวกับตัวถังล้อมรอบปลายท่อไอเสียแบบคู่ยิงออก 2 ฝั่ง
เลอวานเต้ โทรเฟโอ ลอนช์เอดิชั่น ติดตั้งขุมพลังที่แรงสุดในประวัติศาสตร์ สำหรับรถยนต์ในสายการผลิตของ "มาเซราติ" โดยเป็นเครื่องยนต์เบนซิน V8 สูบ 3.8 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลัง 590 แรงม้า ที่ 6,250 รอบ/นาที แรงบิด 730 นิวตันเมตร ที่ 2,250-5,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ Q4 อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.9 วินาที ท็อปสปีด 304 กม./ชม.
ขณะที่ห้องโดยสารหรูหราและสปอร์ตมากขึ้นด้วยการตกแต่งคาร์บอนไฟเบอร์ผิวด้าน ติดตั้งป้ายโลหะ ‘1 of 100’ บริเวณคอนโซลกลาง เพิ่มกราฟิก ‘Trofeo’ บนจอแสดงผลอเนกประสงค์ เบาะทรงสปอร์ตหุ้มหนังแท้ ‘Pieno Fiore’ มีให้เลือกทั้งสีดำ, แดง หรือน้ำตาลอ่อน เย็บตะเข็บด้วยเส้นด้ายสีตัดกัน พร้อมปักโลโก้ ‘Trofeo’ บริเวณหมอนรองศีรษะ พร้อมเพิ่มความสุนทรีย์ด้วยชุดเครื่องเสียงพรีเมียมเซอร์ราวนด์Bowers & Wilkins 17 ลำโพง 1,280 วัตต์
สำหรับช่วงล่างหน้าดับเบิลวิชโบนหลังมัลติ-ลิงก์ ผ่านการปรับแต่งใหม่อย่างละเอียด ชุดเบรก Bremboจับคู่กับล้อแม็กฟอร์จ‘Orione’ พ่นสีด้าน ขอบ 22 นิ้ว และยางคอนติเนนทอลSport Contact 6 (หน้า 265/35/ZR22 หลัง 295/30/ZR22) ส่งผลให้ เลอวานเต้ โทรเฟโอ ลอนช์เอดิชั่น มีแฮนด์ลิงก์คมกริบ
สนนราคาของเลอวานเต้ โทรเฟโอ ลอนช์เอดิชั่น อยู่ที่ 20,990,000 ล้านบาท ส่วนรุ่น โทรเฟโอ ตัวธรรมดา ราคา 19,990,000 ล้านบาท
Aston Martin DBX
แอสตัน มาร์ติน แบงคอก เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด “ดีบีเอ็กซ์” (DBX) รถอเนกประสงค์แบบเอสยูวีรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของแอสตัน มาร์ติน และยังเป็นรถรุ่นที่ 4 ภายใต้แผนทศวรรษที่ 2 ของแบรนด์แอสตัน มาร์ติน ดีบีเอ็กซ์ เป็นรถสปอร์ตเอสยูวีที่ได้รับการออกแบบผสมผสานระหว่างความหรูหราและความเป็นสปอร์ตคาร์โดยเน้นเส้นสายที่สืบทอดมาจากตระกูลดีบีและแวนเทจ ทำให้ ดีบีเอ็กซ์ มีความเป็นสปอร์ตที่ผสานความเซ็กซี่เอาไว้ได้อย่างลงตัว
สัญลักษณ์รูปปีก ซึ่งเป็นโลโก้ประจำแบรนด์ของ แอสตัน มาร์ติน ได้รับการสร้างสรรค์จากผู้ผลิตจิวเวลรีที่มีอายุยาวนานกว่า 200 ปีของอังกฤษ ด้านการออกแบบประตูยังคงเอกลักษณ์ประตูแบบปีกหงส์เอาไว้ กระจังหน้าดีไซน์ช่องดักลมขนาดใหญ่ได้แรงบันดาลใจจากรถดีบี ส่วนด้านท้ายมีการเส้นสายคล้ายตูดเป็ดที่หยิบมาจากแวนเทจซึ่งเด่นในเรื่องของอากาศพลศาสตร์
การตกแต่งภายในห้องโดยสาร ยังคงเอกลักษณ์ของการเป็นรถแอสตัน มาร์ติน คงไว้ซึ่งกลิ่นอายของการออกแบบที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยมีจุดเด่นที่ความประณีตและพิถีพิถันในการเลือกวัสดุคุณภาพสูงมาใช้งานเช่น เบาะนั่งเป็นหนังแท้ full natural grain “Caithness”
คอนโซลกลางออกแบบเหมือนเป็นสะพานกลางเชื่อมต่อจากคอนโซลหน้าไปจนถึงทางด้านเบาะหลัง เพิ่มเติมความบันเทิงด้วยหน้าจออเนกประสงค์ขนาด 10.25 นิ้ว รองรับ Apple CarPlayพร้อมกล้องมองภาพ 360 องศา และติดตั้งไฟในห้องโดยสารที่สามารถเปลี่ยนได้ 64 เฉดสี
หัวใจมากับเครื่องยนต์เบนซิน V8 สูบขนาด 4.0 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 550 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติชุดใหม่ 9 สปีดพร้อมโหมดสปอร์ตที่เพิ่มความสนุกสนานให้การขับขี่ได้อีกระดับ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 291 กม./ชม. ขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมดับ E-difflockช่วงล่างเป็นแบบถุงลม สามารถปรับระดับความสูงได้หลายระดับตามความต้องการ ขณะที่โหมดการขับขี่มีให้เลือกใช้งานได้มากถึง 5 โหมดได้แก่ Terrain, Terrain+, GT, S และ S+
แอสตัน มาร์ติน ดีบีเอ็กซ์ เปิดจำหน่ายด้วยราคาเริ่มต้น 19,900,000บาท สำหรับปีนี้ประเทศไทยได้โควตามาเพียง 4 คัน และมีผู้จองก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว 2 คัน
Rolls-Royce Cullinan Black Badge
โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส แบงคอก เปิดตัว “โรลส์-รอยซ์ คัลลิแนน แบล็ก แบดจ์” ครั้งแรกในประเทศไทย เจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่หัวใจสปอร์ต ด้วยชุดตกแต่งพิเศษครบถ้วนจากโรงงานพร้อมความแรงที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นปกติ 29 แรงม้าโรลส์-รอยซ์ คัลลิแนน แบล็ก แบดจ์ ได้รับการตกแต่งใหม่เฉพาะรุ่น แบล็ก แบดจ์ เท่านั้น โดยภายนอกมากับสัญลักษณ์นางฟ้า (Spirit of Ecstasy) สีดำ โลโก้ RR รอบคันถูกเปลี่ยนเป็นตัวอักษรสีเงินพื้นสีดำ (สลับกับรุ่นปกติ) รวมถึงวัสดุต่างๆเช่น กระจังหน้า กรอบหน้าต่าง ท่อไอเสีย มือจับประตูและฝาท้าย ถูกตกแต่งด้วยการพ่นสีดำเข้ม ล้อแม็กลายพิเศษที่รุ่นปกติไม่สามารถสั่งซื้อได้
การตกแต่งภายในมากับคอลเล็กชันสั่งผลิตพิเศษ หนังแท้สีเหลือง Forge Yellow พร้อมเสริมด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ที่ถักลายพิเศษเลขาคณิตจำนวน 23 ชิ้นที่ต้องผ่านขั้นตอนการผลิตนานถึง 21 วัน เพดานบุหนังสีดำตกแต่งด้วยไฟเบอร์ออฟติกที่ดูเหมือนดวงดาวบนฟ้าพร้อมลูกเล่นดาวตก8ดวงสัญลักษณ์ อินฟินิตี้ แสดงความพิเศษอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถูกปักบนที่พักแขนแบบพับได้บริเวณเบาะหลัง อีกทั้งยังถูกใช้สลักบนแผ่นโลหะเรืองแสงที่ขอบบันไดและกรอบนาฬิกา
หัวใจมากับเครื่องยนต์เบนซินแบบ V12 สูบ ขนาดความจุ 6.75 ลิตรกำลังสูงสุด 592 แรงม้า (มากกว่ารุ่นปกติ 29แรงม้า) แรงบิด 900 นิวตันเมตร (เพิ่มขึ้นจากรุ่นปกติ 50 นิวตันเมตร) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อ และเลี้ยว 4 ล้อ โครงสร้างตัวถังแบบอะลูมิเนียม ช่วงล่างเป็นถุงลมที่ทำให้การขับขี่โรลส์-รอยซ์เปรียบเหมือนการเดินทางด้วยพรมวิเศษ
สนนราคาค่าตัวเริ่มต้น 37,800,000 ล้านบาท ส่วนคันที่เห็นในภาพมีการเพิ่มออปชันหลายรายการทำให้ราคามาอยู่ที่ 39,900,000 ล้านบาท (รุ่นปกติราคา 33,500,000 ล้านบาท)