xs
xsm
sm
md
lg

สปอรต์หรูราคา 10 ล้านไม่หวั่นโควิด-19 เดินหน้าเปิดกระเป๋าเงินเศรษฐีเมืองไทย

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์








หลายภาคธุรกิจในช่วงโควิด- 19 อาจจะดูซบเซาและเงียบเหงาไปบ้าง เพราะผู้บริโภคยังไม่กล้าจับจ่ายใช้สอยและออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านกันมากนัก ประกอบกับภาครัฐได้มีข้อกำหนดต่างๆ เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้การดำเนินธุรกิจช่วงนี้ค่อนข้างยากลำบาก การนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ดูเหมือนจะยังไม่เข้ากับสถานการณ์เท่าใดนัก แต่มีธุรกิจอยู่กลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ เพราะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของสินค้าอย่างรถสปอร์ตราคาแพง ไม่ได้สนใจในเรื่องราคาค่าตัว แต่เน้นความพึงพอใจ





เฟอร์รารี่ เอสเอฟ 90 สตราดาเล สปอร์ตเสียบปลั๊กแรงทะลุ 40 ล้าน

ดังนั้นในช่วงที่ผ่านมาเราจึงได้เห็นการเปิดตัวของรถสปอร์ตสุดหรูกันอย่างต่อเนื่อง ที่สุดแห่งความหวือหวาจนต้องร้องว๊าวเห็นจะเป็นการเปิดตัว Ferrari SF90 Stradale (เฟอร์รารี่ เอสเอฟ 90 สตราดาเล) ขุมพลัง V8 รุ่นท็อปสุดในประวัติศาสตร์ของเฟอร์รารี่ ด้วยราคาค่าตัวอยู่ที่ 40,900,000 บาท จุดเด่นของม้าลำพองคันนี้อยู่ที่เป็นสปอร์ตคาร์คันแรกของเฟอร์รารี่ที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD) และเป็นเครื่องยนต์แบบ PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) ซึ่งเมื่อทั้ง 2 อย่างทำงานประสานกันแล้วสามารถสร้างอัตราเร่งอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 2.5 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.7 วินาที



นอกจากนี้ Ferrari SF90 Stradale ยังมาพร้อมกับขุมพลัง 8 สูบที่ดีที่สุดในโลก การันตีด้วยรางวัล “Best Engine” จาก International Engine Of The Year Awards ถึง 4 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 ถึง 2019 และยังคว้ารางวัล ‘Best of the Best’ หรือที่สุดแห่งดีไซน์จาก Red Dot Award ประจำปี 2020 อีกด้วย







Ferrari SF90 Stradale วางเครื่องยนต์เบนซิน แบบ V8 ทำมุม 90 องศา ขนาด 4.0 ลิตร 3,990 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ กำลังสูงสุด 780 แรงม้า ที่ 7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้า 2 ตัว และ ด้านหลังอีก 1 ตัว รวมทั้งหมด 3 ตัว เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้พละกำลังสูงสุดรวมทั้งระบบอยู่ที่ 1,000 แรงม้า โดยทางผู้นำเข้าอย่าง คาวาลลิโน มอเตอร์ ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่าย และซ่อมบำรุงรถยนต์เฟอร์รารี่แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยก็ได้เตรียมจัดงานสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Private View of SF90 Stradale” ให้ลูกค้าได้สัมผัสรุ่นใหม่ล่าสุดนี้อย่างใกล้ชิดในรูปแบบการนัดหมายส่วนตัวตั้งแต่วันนี้ - 26 ก.ค.นี้















BMW M8 Competition Coupe’ การกลับมาของคูเป้รุ่นใหญ่ในรอบ 18 ปี

มามองที่ฝั่งเยอรมันกันบ้างค่ายนี้มีการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่งหน้าทาปากปรับออปชันให้รถในค่ายอยู่เสมอ โดยระยะที่โควิด-19 เริ่มระบาดเข้าขั้นวิกฤติในเดือนมีนาคม บีเอ็มดับเบิลยูก็ได้ทำการเปิดตัวสปอร์ตในตำนานอย่าง BMW M8 Competition Coupe’ สปอร์ตตัวท็อปพี่ใหญ่ของค่าย ด้วยการนำเข้าอย่างเต็มรูปแบบ (CBU) เสนอราคาค่าตัวอยู่ที่ 17,999,000 บาท มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 4.4 M TwinPower Turbo 625 แรงม้า 750 นิวตันเมตร มาพร้อม BSI Standard รับประกันตัวรถ 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง ฟรีค่าบำรุงรักษา BSI นาน 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร













แต่ถ้ายังรู้สึกว่าได้รับการดูแลน้อยไปจ่ายเพิ่มอีกนิดก็ยังไม่สะเทือนกระเป๋าสตางค์ บีเอ็มดับเบิลยูก็มีตัวเลือกให้ซื้อเพิ่มกับ BSI Plus : เพิ่ม BSI ฟรีค่าบำรุงรักษาเป็น 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร + 40,000 บาท, Warranty Plus : เพิ่ม การรับประกันตัวรถเป็น 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง + 50,000 บาท, BSI Ultimate : เพิ่ม ทั้ง 2 อย่าง (BSI ฟรีค่าบำรุงรักษา และ การรับประกันตัวรถ) + 90,000 บาท เรียกได้ว่าถ้าซื้อ BSI เพิ่มราคาค่าตัวของรถรุ่นนี้ก็จะทะลุ 18 ล้านไปแบบสวยๆ













BMW M8 Competition Coupe’ มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 8 สูบ M TwinPower Turbo กำลังสูงสุด 625 แรงม้า ที่ 6,000รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตรที่ 1,800-5,860 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ M Steptronic 8 จังหวะ อัตราเร่ง 0 ถึง 100 กม./ชม. ในเวลา 3.2 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่จะไปได้ถึง 305 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ก็ต้องจ่ายเพิ่มเพื่อให้ทางบีเอ็มปลดล็อกให้ กระจายกำลังสู่สี่ล้อด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ M xDrive พร้อมระบบระบายความร้อนเพื่อควบคุมอุณหภูมิในห้องเครื่องให้เหมาะสมตลอดเวลา














ถ้าย้อนไปถึงประวัติของซีรีย์ 8 คันนี้ สาวกของบีเอ็มดับเบิลยูจะรู้กันดีว่า คูเป้ระดับเรือธงคันนี้มีโฉมแรกมาก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่ยุติการทำตลาดไปตั้งแต่ปี 1999 หรือ เมื่อประมาณ 18 ปีที่ผ่านมา การกลับมาครั้งนี้แน่นอนว่าจะเรียกเสียงฮือฮาให้แฟนพันธุ์แท้ได้มากกว่าเดิมด้วยเครื่องยนต์ที่ทรงพลังมากขึ้น แม้รูปทรงรถจะไม่แบนและบางเหมือนในอดีต แต่ก็เป็นแนวทางการออกแบบของบีเอ็มดับเบิลยูยุคใหม่ที่สร้างความคุ้นเคยได้ในครั้งแรกที่เห็น
















Porsche 911 Targa 4 รถเปิดหลังคาครึ่งเดียวแต่ดูเฉี่ยวทุกครั้งที่มอง

ตามมาด้วยแบรนด์สปอร์ตยอดนิยมและเป็นรถในฝันของใครหลายๆ คนอย่างปอร์เช่ ล่าสุดได้ทำการเปิดตัวรถสปอร์ตขับเคลื่อน 4 ล้อ ปอร์เช่ 911 ทาร์กา 4 (Porsche 911 Targa 4) และ 911 ทาร์กา 4 เอส (911 Targa 4S) โดยรถรุ่นใหม่นี้ยังคงรักษาเอกลักษณ์อันแตกต่างด้วยนวัตกรรมสุดล้ำของตัวถังทาร์กา (Targa) ติดตั้งระบบหลังคาอัตโนมัติควบคุมการทำงานของหลังคาประทุน สั่งการเปิดและปิดได้อย่างสะดวกสบายเพียงปลายนิ้วในระยะเวลารวดเร็วเพียง 19 วินาที สวยและไฮเทคขนาดนี้มีราคาค่าตัวสำหรับ 911 Targa 4 เริ่มต้นที่ 12,100,000 บาท ส่วน 911 Targa 4S ราคาเริ่มต้น 13,450,000 บาท











ในส่วนของเครื่องยนต์นั้นเป็นบ็อกเซอร์ 6 สูบนอน ขนาดความจุ 3.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์คู่ ปอร์เช่ 911 ทาร์กา 4 มีพละกำลังสูงสุด 385 แรงม้า เมื่อติดตั้งอุปกรณ์พิเศษ ชุดแต่งเพิ่มสมรรถนะ Sport Chrono package ให้อัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งไปยังระดับความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในระยะเวลา 4.2 วินาที ซึ่งเร็วขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 10% ส่วนปอร์เช่ 911 ทาร์กา 4 เอส ยกระดับความแรงขึ้นอีกด้วยกำลังสูงสุดถึง 450 แรงม้า (331 กิโลวัตต์) อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในระยะเวลาเพียง 3.6 วินาที หรือเร็วขึ้นถึง 40% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นที่ผ่านมา ในส่วนความเร็วสูงสุด ปอร์เช่ 911 ทาร์กา 4 ทำได้ที่ 289 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่รุ่น 4 เอส สามารถทะยานทะลุพิกัดความเร็วสูงสุดได้ถึง 304 กิโลเมตรต่อชั่วโมง











ไม่ได้เปิดตัวเฉพาะ Porsche 911 Targa เท่านั้น ปอร์เช่ ยังเตรียมเผยโฉม Panamera 10 Year Edition สปอร์ตซาลูน 4 ประตูรุ่นฉลองครบรอบ10 ปี ที่มาพร้อมการเพิ่มเติมอุปกรณ์เสริมอย่างครบครันและรายละเอียดการตกแต่งที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเป็นพิเศษเฉพาะรุ่นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีการถ่ายทอดสดทางออนไลน์ เรียกได้ว่าแม้อะไรจะหยุดนิ่ง แต่สปอร์ตจากเยอรมันยังคงเดินหน้านำผลิตภัณฑ์ออกมาให้เลือกกันอย่างต่อเนื่องเลยทีเดียว














Jaguar F-Type คูเป้จากฝั่งผู้ดีมีให้เลือกตามความแรงของเท้าและกระเป๋าเงิน

ออกจากฝั่งเยอรมันมาดูรถจากฝั่งอังกฤษกันบ้าง แม้สถานการณ์โควิด-19 ภายในประเทศนี้จะยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะเกือบปกติ และมีข่าวทางด้านลบที่รายงานโดยสื่อของอังกฤษเองซึ่งระบุว่าบริษัทรถจากัวร์ แลนด์โรเวอร์ ค่ายรถหรูกำลังอยู่ในระหว่างเจรจากับรัฐบาลอังกฤษเพื่อขอเงินกู้ฉุกเฉินจำนวนกว่า 1 พันล้านปอนด์ หรือราว 1.22 พันล้านดอลลาร์ แต่ทางบริษัทออกมาปฏิเสธแล้วว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป














แต่สำหรับเมืองไทย ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์จากัวร์และแลนด์โรเวอร์อย่างเป็นทางการ อย่าง บริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด ก็ไม่ได้มองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับประเทศที่นำรถเข้ามา หรือแม้แต่การระบาดของโควิด-19 จะทำให้ธุรกิจไปต่อไม่ได้ ล่าสุดจึงได้ทำการเปิดตัวจากัวร์ เอฟ-ไทป์ โฉมใหม่ (New Jaguar F-Type) พร้อมตัวเลือกถึง 5 รุ่นย่อย มาพร้อมเครื่องยนต์ตัวท็อปอย่างเบนซินซูเปอร์ชาร์จแบบ V8 ขนาด 5.0 ลิตร กำลังสูงสุด 575 แรงม้า ใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อด้วยการปรับแบบพลศาสตร์ และเครื่องยนต์ Ingenium เบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 300 แรงม้า ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่ง เอฟ-ไทป์ โฉมใหม่ นี้ก็มีหลายรุ่นให้เลือกกัน ตั้งแต่ราคาเบาๆ ไปจนถึงราคาแรงตามเครื่องยนต์ เริ่มต้นตั้งแต่ 6,400,000 บาท ไปจนถึง 13,000,000 บาท กันเลยทีเดียว













นอกจากนี้ จากัวร์ เอฟ-ไทป์ โฉมใหม่ ยังได้ให้ลูกค้าสามารถออกแบบเลือกอุปกรณ์รถยนต์ตามความต้องการ ด้วยโปรแกรม Car Configurator ภาพจำลองเสมือนจริงผ่านทางเว็บไซต์ สามารถเลือกได้ตั้งแต่ หลังคาแบบคูเป้หรือแบบเปิดประทุน ด้านขุมพลังมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ 4 สูบ ขุมพลัง 300 แรงม้า และ V8 ซูเปอร์ชาร์จสมรรถนะ 575 แรงม้า โดยลูกค้าสามารถเข้าไปเลือกปรับแต่ง จากัวร์ เอฟ-ไทป์ ได้ที่เว็บไซต์ www.jaguar.co.th และรับแคมเปญ “Worry-Free Program” ให้ความคุ้มค่ากับการรับประกันนาน 5 ปี บริการซ่อมบำรุงฟรี 5 ปี และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี









ในวิกฤติยังมีโอกาสเสมอและค่ายรถหรูเหล่านี้ก็เลือกที่จะเปิดตัวในช่วงที่ตลาดส่วนอื่นยังคงไม่ได้ขยับไปไหน ด้วยกลยุทธ์ที่มองว่าลูกค้าที่จะซื้อรถระดับนี้จะไม่มีความลังเลที่จะจ่ายเงิน แต่จะเลือกในสิ่งที่พวกเขาพึงพอใจมากที่สุด ดังนั้นแต่ละค่ายจึงพร้อมนำเสนอรถรุ่นล่าสุดที่เปิดพร้อมกับตลาดโลก อย่างน้อยก็ทำให้ลูกค้าเกิดความพอใจว่าได้ใช้สินค้าพร้อมกับคนอื่นในโลก ประกอบกับการเปิดตัวในช่วงที่ตลาดอื่นเงียบแบบนี้จะทำให้ผลิตภัณฑ์มีความโดดเด่นมากกว่าช่วงที่มีการเปิดตัวรถยนต์กันอย่างคึกคัก เพราะแม้ผู้บริโภคบางกลุ่มจะยังซื้อไม่ได้ แต่ก็จะทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำของพวกเขาได้มากขึ้น





กำลังโหลดความคิดเห็น