เอ็มจี แซดเอส (MG ZS) เปิดตัวมาพร้อมกับการสร้างความฮือฮาในตลาดรถขนาด B SUV ด้วยรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นและออปชันที่ใส่มาให้ ที่มองแล้วใครๆ จะถามว่า “กี่ล้าน” แต่ความจริงราคาค่าตัวคือสิ่งที่ต้องเรียกว่า คุ้ม ยิ่งกว่าคุ้ม เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด ด้วยราคาเริ่มต้น 679,000-789,000บาท เมื่อแรกเปิดตัว
หลังจากทำตลาดมาราว 3 ปี สร้างยอดขายเป็นกอบเป็นกำให้ เอ็มจี แจ้งเกิดได้เต็มตัว ปีนี้ได้เวลาของการขยับปรับโฉม เอ็มจี แซดเอส จึงมากับหน้าตาใหม่ และออปชันใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้น ส่วนจะมีอะไรบ้างและการขับขี่เป็นอย่างไร ทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง ได้ทดลองขับพร้อมนำเสนอให้ติดตามกันได้
ปรับเสมือนรุ่นใหม่
ว่าด้วยการปรับปรุงโฉมใหม่ของ เอ็มจี แซดเอส รอบนี้โดยภาพรวมแทบจะเหมือนรถรุ่นใหม่ เพราะมีการปรับเปลี่ยนหลากหลายรายการ (ปรับมากกว่ารถเปลี่ยนโฉมบางรุ่นของบางยี่ห้อเสียอีก) ตั้งแต่ภายนอก ภายใน ระบบขับเคลื่อน มีเพียงโครงสร้างตัวถัง, ช่วงล่างและเครื่องยนต์ที่ยังใช้ชุดเดิมอยู่
ภายนอกสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดสุดคือ ไฟหน้า มากับดีไซน์ใหม่ที่มีระบบไฟส่องสว่างสำหรับขับขี่เวลากลางวัน (DAYTIME RUNNING LIGHT) ติดตั้งเป็นมาตรฐาน ส่วนไฟท้ายเปลี่ยนมาเป็นแบบ LED, กระจังหน้า, กันชนหน้า-ท้าย ใหม่หมด และล้ออัลลอยลายใหม่ พร้อมยางขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
ภายในปรับดีไซน์คอนโซลหน้าใหม่ โดยคุณภาพของวัสดุดูดีขึ้น หน้าจอคอนโซลกลางเปลี่ยนจากเดิม 8 นิ้ว เป็นแบบใหม่ขนาด 10 นิ้ว, ระบบความบันเทิงรองรับ Apple Car Play , ไฟในห้องโดยสารแบบ LED, เพิ่มที่วางเท้าแขนตรงกลาง, ระบบปรับอากาศดิจิตอลพร้อมกรองอากาศขนาด PM2.5ได้, เบรกมือไฟฟ้า, ระบบ Auto Hold, ปุ่มระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC, หัวหมอนเบาะนั่งแถวที่สองเพิ่มขึ้นเป็น 3 ตำแหน่งและกุญแจอัจฉริยะใหม่ โดยทั้งหมดนี้มีในทุกรุ่นย่อย
เครื่องยนต์ยังเป็นเครื่องตัวเดิมเบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 114แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที ส่วนสิ่งที่เปลี่ยนไปคือระบบส่งกำลังจากเดิมเกียร์อัตโนมัติแบบ 4 สปีด กลายเป็นเกียร์แบบ CVT 8 สปีด
สำหรับออปชันที่เปลี่ยนเฉพาะรุ่น C+ ได้แก่ หน้าปัดกลายเป็น จอมัลติฟังก์ชันแบบสี, ช่องเสียบUSB เพิ่มเป็น 4 จุด และยางเปลี่ยนจากขนาด 205/60R16 เป็น 215/60R16 (โยโกฮาม่า) ส่วนรุ่น D+ เปลี่ยนและเพิ่ม ได้แก่ จอมัลติฟังก์ชันแบบสีขนาด 7 นิ้ว, ระบบควบคุมและจำกัดความเร็ว, ระบบการโทรฉุกเฉิน, ช่องเสียบ USB เพิ่มเป็น 5 จุดและยางเปลี่ยนจากขนาด 205/60R16 เป็น 215/60R16
ขณะที่รุ่นท็อป X+ เพิ่ม ระบบกล้องมองรอบคัน, เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง, จอมัลติฟังก์ชันแบบสีขนาด 7 นิ้ว, ระบบเซนเซอร์ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ, ระบบควบคุมและจำกัดความเร็ว, ระบบการโทรฉุกเฉิน, ช่องเสียบ USB เพิ่มเป็น 5 จุดและยางเปลี่ยนจากขนาด 215/50R17 เป็น 215/55R17 พร้อมด้วยล้ออัลลอยลายใหม่ ทั้งนี้ ทุกรุ่นย่อยราคาเพิ่มขึ้นจากโฉมก่อนหน้า 10,000 บาท
การขับเปลี่ยนไปคือ นุ่มขึ้น
สำหรับการขับขี่รอบนี้ทีมงาน “เอ็มจี” จัดให้เราวิ่งในเส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา รวมระยะทางทั้งสิ้นราว 120 กม. เรียกว่าให้ขับกันพอหอมปากหอมคอให้รับรู้ถึงสมรรถนะได้แบบหนึ่งคันต่อหนึ่งคน
ความรู้สึกแรกเมื่อประจำการบนเบาะนั่ง พวงมาลัยน้ำหนักเบามือมาก จนทำให้เราบ่นตลอดเวลาระหว่างการขับขาไป จนกระทั่งได้ทราบข้อมูลว่า สามารถปรับน้ำหนักพวงมาลัยได้ เพียงแค่เข้าเมนูบนหน้าจอ และเมื่อเปลี่ยนมาเป็นแบบหนักสุด ความสุขในการขับขี่กลับมาทันที (ปรับได้ 3 ระดับ ขาไปคือแบบเบาสุด)
กล่าวโดยรวมความคาดหวังของเราคือ กลัวว่าจะอืด เนื่องจากมีการเปลี่ยนเกียร์จากแบบทอร์ค คอนเวิร์ตเทอร์ 4 สปีดมาเป็นแบบ ซีวีที 8 สปีด โดยพื้นฐานแล้วเกียร์ซีวีทีมักจะมีอาการรอรอบเป็นปกติ ดังนั้นเมื่อมาเจอกับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร กำลัง 114 แรงม้า จึงค่อนข้างหวั่นใจพอสมควร
แต่แล้วเมื่อได้ทดลองขับจริง เหตุการณ์กลับเป็นตรงกันข้ามคือ ตอบสนองทันใจกว่าเดิม คันเร่งแตะหนักเท้าสักหน่อยก็พุ่งได้ ไม่รอรอบ แถมการเปลี่ยนเกียร์ยังเนียนแบบไร้รอยต่อ กำจัดจุดอ่อนของโฉมก่อนไมเนอร์เชนจ์ไปได้อย่างน่าชื่นชม เรียกว่าจุดห่วงในเรื่องของเกียร์กลายเป็นจุดเด่นที่ประทับใจแทน
การขับช่วงขาไปเราวิ่งบนถนนเส้นบางนา-ตราดและขึ้นทางด่วนบูรพาวิถี ความเร็วที่ขับส่วนใหญ่อยู่ราว 100-120 กม./ชม. แต่จะมีบางช่วงที่ขับเพลินไปสักหน่อย ตัวเลขความเร็วไม่ทันได้มอง แต่รถคันข้างๆ ที่ขับมาคู่กันนั้นเขามีคนนั่งมาด้วยและสังเกตตัวเลขความเร็วโดยบอกเราหลังจอดรถคุยกันว่า “พี่ขับทะลุ 170 กม./ชม.เลยนะรู้ตัวรึเปล่า”
สารภาพตามตรงคือ เราขับแบบไปเรื่อยๆ รู้ว่าเร็วเพราะกดคันเร่งลึก แต่ไม่ทันมองตัวเลขเพราะต้องสนใจสภาพการจราจรก่อน โดยความรู้สึกแล้วมั่นใจ ไม่หวาดเสียวหรือหรือรู้สึกว่าหวิวแต่อย่างใด แม้ช่วงล่างจะมีการขับโดยรวมที่รู้สึกว่านุ่มเกินไปสักหน่อย แต่เมื่อขับด้วยความเร็วสูง อาการโยนตัวน้อยกว่าที่คาดเอาไว้
อีกหนึ่งออปชันที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ต้องกล่าวถึงคือ ระบบนำทาง ซึ่งเราเปิดใช้งานในคราวนี้ 99% คือความแม่นยำของการนำทาง มีบ้างที่บอกจุดออกผิดเพี้ยนไป ส่วนจุดใหญ่ใจความดีงามระดับ 10 คือความสามารถในการบอกได้ว่า มีกล้องตรวจจับอยู่ตรงจุดไหนบ้าง แม้จะไม่ครบทุกตำแหน่ง แต่สามารถระบุได้หลายจุดบนหน้าจอแบบชัดเจน
การขับขี่บนมอเตอร์เวย์ แบบนิ่งๆ ความเร็วไม่เกิน 110 กม./ชม. ด้วยการใช้ครูซ คอนโทรล ตัวรถให้ความรู้สึกค่อนข้างนุ่ม เวลาเจอคอสะพานแล้วจะมีการโยนตัวมากกว่าเดิม น่าจะถูกใจคนนั่งทางด้านหลังและคุณผู้หญิงที่ชอบความสบาย ส่วนคุณผู้ชายที่ชอบสมรรถนะช่วงล่างแบบเฟิร์มหน่อยอาจจะไม่ตรงจริตนัก
เบาะเท้าแขนตรงกลางที่เพิ่มเข้ามาช่วยให้สบายเมื่อต้องขับขี่ทางยาวๆ ส่วนหน้าปัดใหม่ที่มีลูกเล่นเป็นจอปรับเปลี่ยนได้นั้น ตัวเลขวัดรอบจะดูยากไปสักหน่อย แต่โดยรวมแล้ว ได้ข้อมูลต่างๆ ที่ครบถ้วนดี ขณะที่ระบบสั่งการไอ-สมาร์ท ได้รับการอัพเกรดให้ฉลาดขึ้น มีลูกเล่นมากขึ้น และสามารถฟังเพลงจากเครือจีเอ็มเอ็มได้แล้ว
สำหรับอัตราการบริโภคน้ำมัน แบบผสมผสานทั้งขับช้าและเร็ว โดยใช้เส้นทางออกนอกเมือง มีเร่งตามจังหวะการแซงคันของผู้เขียนหน้าจอระบุตัวเลข 9.9 กม./ลิตร ถือว่ายอมรับได้ เพราะเราไม่ได้ขับช้า แถมมีการเร่งแซงสม่ำเสมอ
เหมาะกับใคร
พ่อบ้านคนรักครอบครัว หรือสาวๆ ที่มีของเยอะ ชอบรถนั่งนุ่ม ขับง่าย ลูกเล่นเยอะ ในราคาที่จับต้องได้ ผ่อนสบายๆ เน้นความคุ้มค่า ไม่ยึดติดในแบรนด์ MG ZS คือคำตอบของคุณ แล้วถ้าถามเราว่าเลือกรุ่นย่อยใดดี คำตอบ ตัวท็อปสุด เพราะเราชอบ หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามิค