อาวดี้ เอ 6 จัดอยู่หมวดของรถซีดานขนาดกลาง ระดับเดียวกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส และบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 โดยถือกำเนิดขึ้นมาในกลางยุค 90 หลังจากยุติการทำตลาดรุ่น 100 ไปและเปลี่ยนมาใช้ชื่อเรียกรุ่นใหม่ทั้งหมดของแบรนด์ในเครือดังที่เห็นมาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับ อาวดี้ เอ 6 โฉมปัจจุบันนับเป็นเจเนอเรชันที่ 5 ของตระกูลนี้ โดยเปิดตัวในตลาดโลกเมื่อปี 2018 ส่วนเมืองไทย เข้ามาทำตลาดช่วงปลายปีที่แล้ว โดยมีหัวหอกสำคัญคือรุ่น เอ6 อาวองท์ (A6 Avant) เป็นรถลักษณะแวนอเนกประสงค์ ที่หาได้น้อยในตลาดปัจจุบัน หลังการเติบโตของรถแบบเอสยูวี
อย่างไรก็ตาม ตลาดรถแวนนั้นยังคงมีความต้องการอยู่ ด้วยคุณลักษณะที่ขับขี่ไม่ต่างจากรถซีดานทั่วไป ตัวรถไม่สูง แต่ได้พื้นที่ใช้สอยเพิ่มมากขึ้นกว่าแบบซีดาน ดังนั้น ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริง จึงของนำเสนอ เอ 6 อาวองท์ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ไมล์ด ไฮบริด ออปชันเต็ม
เอ 6 อาวองท์ ที่จำหน่ายจะมี 3 รุ่นย่อย แบ่งตามระดับความแรงคือ 40 TFSI , 45 TFSI และ 55 TFSI ซึ่งคันที่ทดลองขับเป็นรุ่น 45 TFSI มีชื่อต่อท้ายด้วยคำว่า S line Black Edition และชื่อดังกล่าวนั้นหมายความว่า เป็นรุ่นที่มีชุดแต่งมาให้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบทั้งภายนอกและภายใน
การออกแบบตัวถังมากับสไตล์ใหม่ของอาวดี้ยุคนี้ ที่มีเส้นสันต่างๆ ดูปราดเปรียว บึกบึนตามแบบฉบับของรถเยอรมัน โดยชุดแต่งรอบคันมีให้ครบทั้ง S line และ Black Edition หล่อแบบไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม
สิ่งหนึ่งที่ประทับใจจากการสัมผัสผ่านการล้างรถเอง คือ คุณภาพของเนื้อสีที่พ่นบนตัวรถ รู้สึกได้ถึงความเนียนและฉ่ำ รวมถึงคุณภาพของเหล็กที่ได้สัมผัสเวลาขัดคราบสกปรก รับรู้ได้ถึงความหนา กดไปไม่บุบง่ายแน่นอน พ่อบ้านที่ล้างรถเองน่าจะชอบ แต่เสียอย่างหนึ่งคือ พื้นที่เยอะทำให้ต้องล้างนานสักหน่อย
ไฟหน้าแบบ Matrix LED พร้อมมีระบบส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED หลังคาเป็นแบบกระจกพาโนรามิคบานใหญ่ยาวตั้งแต่หน้าไปจนถึงเบาะนั่งแถวสอง พร้อมการเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า
ส่วนภายในห้องโดยสาร มากับดีไซน์ใหม่ของอาวดี้ หน้าจอคอนโซลกลางแบบ 2 ชั้น โดยจอแสดงผลด้านบนขนาด 10.1 นิ้ว ที่ใช้ระบบ MMI Navigation plus with MMI touch response เวอร์ชันใหม่ล่าสุด สั่งงานร่วมกับจอแสดงผลด้านล่างขนาด 8.6 นิ้วแบบมัลติฟังก์ชันแบบสัมผัสที่รองรับการเขียนด้วยมือได้
หน้าปัดจะเป็นจอแสดงผลข้อมูลแบบ Virtual cockpit plus ขนาด 12.3 นิ้ว ที่แสดลผลการขับขี่ได้อย่างครบถ้วน เบาะนั่งเป็นหนังแท้ทั้งคัน โดยคู่หน้าเป็นแบบปรับไฟฟ้า ทรงสปอร์ตพร้อมโลโก้ S line เบาะหลังพับได้ พร้อมม่านบังแดดด้านข้าง ระบบแอร์อัตโนมัติแยก 4 โซน
หัวใจบรรจุเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบ แบบ mild hybrid (MHEV) ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ S tronic 7 สปีด ขับเคลื่อนสี่ล้อ (Quattro) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
ขับเนียน แรงดี ประหยัดได้
สำหรับการทดลองขับนั้น เริ่มกันที่จุดแรกสุดเข้ามาในห้องโดยสาร ความรู้สึกแรก จอเยอะและใหญ่ดีมาก ปุ่มต่างๆ ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้เมนูการใช้งานของจอภาพ เหลือเพียงแค่ปุ่มติดเครื่องยนต์ และปุ่มที่จำเป็นไม่กี่รายการเท่านั้น ดูสะอาดเรียบร้อย รวมถึงพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันที่ ใช้งานเข้าใจง่าย ไม่มีระบบครูซคอนโทรลอยู่บนพวงมาลัย แต่จะไปติดตั้งเป็นก้านคันโยกที่ด้านหลังพวงมาลัย ซึ่งเราบอกเลยว่า ใช้งานสะดวกกว่ามาก
จัดแจงแต่งท่าทางเรียบร้อย ติดเครื่องยนต์ ที่แทบจะไม่ได้ยินเสียงเลยหากปิดประตู จากนั้นค่อยๆกดคันเร่งออกตัวไป การตอบสนองพอดีๆ มีกำลังเหลือไม่อืด ลองกดคันเร่งแบบคิกดาวน์ อาการดึงหลังติดเบาะมีให้สัมผัสได้แบบว่าถ้ากดคันเร่งน้ำหนักนี้ตอนมีคนนั่งทางด้านหลังแล้วไม่บอกก่อน มีหวังโดนบ่นกระจุยกระจายแน่นอน
ช่วงแรกเป็นการขับแบบในเมือง คล่องตัวดีแม้ตัวรถจะมีความยาวเกือบ 5เมตรขาดไปเพียงไม่กี่สิบมิลลิเมตร ทัศนวิสัยชัดเจนขับง่ายไม่ต่างจากรถแบบซีดาน จะมีรู้สึกได้ก็เมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูงหรือออกต่างจังหวัดแบบทางยาวๆถึงจะเห็นความแตกต่าง
การขับออกต่างจังหวัดคือ จุดเด่นที่ประทับใจมากที่สุด จากความรู้สึกที่เรียกว่า เนียนกริ๊บ ทั้งจากระบบช่วงล่างที่ดูดซับแรงสะเทือนได้อย่างดี การป้องกันเสียงดังรบกวนจากภายนอกที่เข้ามาได้น้อย โดยเฉพาะเสียงดังของเครื่องยนต์และเสียงลมประทะ จะมีเพียงเสียงยางบดถนนเท่านั้นที่ได้ยิน
การเร่งแซงทำได้อย่างมั่นใจในทุกย่านความเร็ว การตอบสนองทันใจดี เกียร์เปลี่ยนนุ่มนวล หากวิ่งแบบทางยาวไปเรื่อยๆ ความเร็วคงที่ราว 90-120 กม./ชม. รอบเครื่องยนต์จะค่อนข้างต่ำมาก ไม่ถึง 2,000 รอบ/นาที ส่งผลให้ตัวเลขอัตราการบริโภคน้ำมันนั้นทำได้อย่างน่าทึ่งที่สุดด้วยการแสดงผลบนหน้าจอเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 15-16 กม./ลิตร ส่วนหนึ่งเป็นผลโดยตรงจากการนำระบบไมล์ดไฮบริดเข้ามาใช้งาน
ความเร็วที่เราใช้งานส่วนมากอยู่ราว 120 กม./ชม. มีบางช่วงที่ลองขับหาความเร็วสูงสุด เราขับไปแตะที่ระดับ 180 กม./ชม. ได้อย่างไม่ยาก ตัวรถยังทรงตัวดี ไม่รู้สึกว่าเร็วแต่อย่างใด พวงมาลัยหนักมือขึ้น แต่ถ้าขับช้าพวงมาลัยจะเบามือ แต่จะไม่เบาเหมือนรถญี่ปุ่น ยังมีน้ำหนักที่ต้องออกแรงอยู่ แต่เชื่อเถอะว่า คุณผู้หญิงขับได้สบาย
ว่าด้วยโหมดในการขับขี่ที่เราใช้ส่วนมากจะเป็นโหมด efficiency ทั้งช่วงล่างและการตอบสนองที่ให้ความรู้สึกลงตัวกว่าโหมด comfort และโหมด auto (เรารู้สึกว่านุ่มเกินไป) ส่วนโหมด dynamic มีเอาไว้ซิ่งเมื่อต้องทำเวลาหรือตอนที่ไม่มีใครนั่งทางด้านหลัง ช่วงล่างจะแข็งขึ้น การตอบสนองต่างๆ จะไวขึ้นรวมถึงรอบเครื่องยนต์ที่จะสูงตลอดเวลาอีกด้วย
อีกหนึ่งฟังก์ชันที่ถือว่าเราชื่นชอบเป็นพิเศษคือ การใช้งานหน้าจอแบบเขียนได้ด้วยมือ ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาสถานที่หรือหาคลื่นวิทยุ เพียงคุณเขียนตัวอักษรจะกลายเป็นการใส่ตัวหนังสือ ไม่ต้องไปหมุนปุ่มหาแป้นตัวอักษรแต่อย่างใด เรียกว่าเป็นฟังก์ชันที่น่าตื่นตาตื่นใจ แถมเด็กๆ ยังใช้งานได้อย่างสนุกอีกด้วย
เหมาะกับใคร
คุณพ่อบ้านแม่บ้านที่มีครอบครัว อยากได้รถยุโรปไว้ใช้งานสักคัน โดยมีเงื่อนไขคือความอเนกประสงค์แต่ไม่ชอบเอสยูวี อยากได้รถเตี้ย สมรรถนะดีๆ และเหนือสิ่งอื่นใด ประกอบเยอรมัน ขายในราคาที่ไม่ต่างจากประกอบในประเทศที่ 4,299,000 บาท อาวดี้ เอ 6 อาวองท์ คำตอบของพ่อบ้านสายซิ่ง