บางท่านที่เห็นชื่อยี่ห้อแล้วรู้สึกแปลกใจว่า ทำไมไม่มีคำว่า Benz ทั้งที่เป็นรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ ชัดๆ คำตอบของคำถามนี้ คือ เรื่องราวหน้าใหม่ของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ต้องการแยกและสร้างแบรนด์ใหม่ให้มีความโดดเด่นชัดเจน เพื่อต่อกรกับบรรดาคู่แข่งที่เป็นรถในระดับซูเปอร์คาร์ จึงทำให้ Mercedes-AMG ถือกำเนิดขึ้นมา
สำหรับรถที่ถือว่าเป็นเรือธงในแบรนด์นี้ต้องยกให้รถในตระกูล GT ซึ่งจะมีรุ่นย่อยหลากหลายรุ่น เช่น GT C , GT R และ GT S เป็นต้น จำแนกตามตัวถังและพิกัดความแรง โดยคราวนี้ทีมงาน MGR Motoring มีโอกาสได้สัมผัสทดลองขับเจ้า GT C Roadster มาชมกันว่าเงิน 17,190,000 บาทที่แลกกับคันนี้ได้อะไรมาบ้าง
M178 เครื่องตัวเทพ
เริ่มต้นกันเรื่องราวของหัวใจสำคัญคือ เครื่องยนต์ GT C Roadster มากับเครื่องยนต์ รหัส M178 ขนาด 4.0ลิตร แบบ V8 สูบ เทอร์โบคู่ ที่อยู่ในตระกูลเดียวกับ M177 และ M176 โดยได้รับการพัฒนาต่อยอดให้มีทั้งน้ำหนักที่เบาและมีความแรงมากขึ้นอีกระดับ ซึ่งเครื่องยนต์ในตระกูลนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเครื่องหนึ่งในพิกัด V8 เพราะนอกจากอยู่ในรถของ Mercedes-AMG แล้ว เครื่องยนต์ในตระกูลนี้ยังถูกส่งไปประจำการอยู่ในซูเปอร์คาร์แบรนด์อื่นอีกด้วย โดยแต่ละเครื่องจะมีวิศวกรหนึ่งคนทำหน้าที่ประกอบและดูแลเครื่องยนต์ตัวนั้นทั้งกระบวนการ โดยจะมีลายเซ็นกำกับไว้ทุกเครื่องอันเป็นที่มาของคำว่า one man one engine หรือ หนึงคนต่อหนึ่งเครื่อง อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ Mercedes-AMG
สำหรับพิกัดความแรงของ Mercedes-AMG GT C Roadster นั้นอยู่ที่ 557 แรงม้า แรงบิด 680 นิวตัน ที่รอบต่ำเพียง 2,100 รอบ/นาทีเท่านั้น ส่งกำลังด้วย เกียร์อัตโนมัติแบบคลัทช์คู่ 7 สปีด (DCT 7G) มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.7 วินาที แน่นอนว่าขีดความสามารถของรถที่ทำได้ดีขนาดนี้ในเชิงเทคโนโลยีนั้นเป็นผลโดยตรงจากทีมแข่งรถสูตรหนึ่งหรือ F1 ของ Mercedes-Benz ที่คว้าแชมป์โลกมาครองได้อย่างต่อเนื่องนั่นเอง
ทั้งนี้รวมถึงเทคโนโลยีด้านโครงสร้างและการออกแบบตัวถัง ที่ GT C Roadster มีต้นฉบับมาจากรุ่น SLS Roadster ผสานเข้ากับเทคโนโลยีจากสนามแข่งรวมเข้ากับปรัชญาการสร้างรถของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เพื่อให้เป็นรถแข่งที่สามารถใช้งานได้ทุกวัน ซึ่งตัวนี้จะมีจุดเด่นที่ การเป็นรถเปิดประทุน หลังคาอ่อนพับเก็บได้ การเปิด-ปิดหลังคานั้นใช้เวลาเพียง 11 วินาที และสามารถเปิด-ปิดได้ขณะที่รถวิ่งได้ด้วยความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. เรียกว่า ขับไปแล้วสามารถวิ่งปิดหนีฝนได้โดยไม่ต้องจอดแต่อย่างใด
ส่วนการออกแบบภายใน ขออนุญาตใช้คำว่า เว่อร์วังอลังการ เชื่อว่าครั้งแรกที่หลายคนได้เห็นของจริงจะต้องมีเสียง “ว้าว” ออกมาอย่างแน่นอน จากการดีไซน์สไตล์ของรถแข่งผสานกับการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพในระดับไฮ-เอนด์ โดยคำนึงถึงความสะดวกและง่ายในการใช้งานของฟังก์ชันต่างๆ ด้วย
ขับสนุกจนไม่อยากลุกออกมา
สำหรับการขับขี่นั้นต้องสารภาพตามตรงก่อนว่า เราได้ขับแต่เพียงในเมืองและมีออกนอกเมืองไกลสุดเพียงแค่สนามบิมสุวรรณภูมิเท่านั้น มิใช่ว่ารถไปไม่ได้ เพียงแต่กลัวและระแวง เนื่องจากว่าคันนี้ 17 ล้านกว่าบาท หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ผู้เขียนไม่สามารถแบกรับความเสียหายได้
ความรู้สึกแรกหลังติดเครื่องยนต์ตอนรับรถ นี่คือรถแข่งชัดๆ เสียงท่อคำราม เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม และเสียงเบรกตอนกดแป้น ทุกอย่างสามารถปลุกความเป็น ลูอิส แฮมิลตัน ในตัวคุณให้ตื่นได้แบบทันทีทันใด เราเคลื่อนตัวรถออกมาพร้อมกับความหวาดระแวงว่าจะพ้นเนินเอียงในที่จอดรถหรือไม่ เพราะรถค่อนข้างเตี้ย แต่สุดท้ายก็รอดมาได้แบบสบายๆ ออกสู่ถนนใหญ่ ได้ลองเต็มยาวๆ ในหลายเส้นทาง ขอเริ่มต้นที่การขับในโหมด C ซึ่งเป็นการขับส่วนใหญ่ของเรา คันเร่งหนักเท้า เบรกหนักเท้า เช่นเดียวกัน ต้องทำความคุ้นเคยสักหน่อยก่อนขับ จังหวะออกตัวกระชับฉับไว ตามสไตล์ของรถสปอร์ต หากให้เทียบกับคู่แข่งในพิกัดเดียวกัน เมื่อกดคันเร่งออกตัวแบบคิกดาวน์ ถือว่าสูสีไม่ได้แตกต่างกันในความรู้สึก คือดึงหลังติดเบาะ อดีนาลีนพอพุ่งพล่านพอกัน
การขับโดยทั่วไป ขอใช้คำว่า ไม่ล้า ไม่เหนื่อย แต่จะให้ใช้คำว่า สบาย ก็น่าจะคงไม่ถึงขนาดนั้น เพราะท่านั่งจะเหมือนการขับรถแข่ง ตัวเบาะค่อนข้างแข็งและโอบอุ้มตามแบบฉบับแต่สบายกว่าของรถแข่งแน่นอน พวงมาลัยน้ำหนักพอดีมือควบคุมง่าย ยิ่งการใช้งานในเมืองไม่มีปัญหา การเลี้ยวเข้าออกตรอกซอกซอยสะดวกสบายของแค่คุ้นเคย แต่ต้องระวังคือหน้ารถที่ยาวและเตี้ย ทำให้เวลาเลี้ยวหลายครั้งจะหวาดเสียวการครูดขอบทางเดินเท้าได้
ส่วนการลองขับด้วยโหมดสปอร์ต (S) แค่เพียงเปลี่ยนเสียงเครื่องยนต์และรอบเครื่องจะสูงขึ้นทันที เสียงท่อไอเสียขยับดังขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน การตอบสนองต่างๆ ไวกว่าเดิมให้การขับขี่ที่สนุกขึ้นอีกระดับ แต่ต้องแลกด้วยเสียงที่ดังกว่าและอัตราการบริโภคน้ำมันที่กินมากกว่าแน่นอน เหมาะกับเวลาที่อยากขับสนุกบนทางด่วนมากๆ
สำหรับการลองด้วยโหมดสปอร์ตพลัส (S+) ทุกอย่างยกระดับขึ้นอีกจากโหมดสปอร์ตปกติ แค่เข้าเกียร์รถเหมือนจะพุ่งออกไปตลอดเวลา ถ้าให้เปรียบโหมดนี้คือ กามนิตหนุ่ม ที่คิดถึงสาวเจ้าพร้อมจะกระโจนไปหาในทุกวินาที ซึ่งโหมดนี้ช่วงล่างจะค่อนข้างแข็งกว่าเดิมมาก เหมาะกับการใช้งานเมื่อถูกท้าทาย ขณะที่โหมดสุดท้าย Race ไม่ได้ลอง เพราะเคยได้รับคำแนะนำว่า ใช้เฉพาะในสนามแข่งเท่านั้น ไม่ควรใช้บนถนนหลวง
เหนืออื่นใด สิ่งที่ยอดเยี่ยมและประทับใจเราที่สุด คือ การบังคับควบคุม ทั้งการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงแบบจิกอย่างมั่นใจ การทรงตัวและความสมดุลของตัวรถขณะเปลี่ยนเลน เกาะถนนหนึบสุดแม้จะวิ่งด้วยความเร็วถึง 200 กม./ชม.ก็ตาม ทำให้ GT C Roadster เป็นรถที่ขับสนุกไม่น้อยหน้าซูเปอร์คาร์คันใดๆ
ตัดภาพกลับมาที่การขับขี่แบบปกติในชีวิตประจำวัน ผู้เขียนขับไปห้างได้จอดในที่จอดซูเปอร์คาร์แบบสบายๆ สิ่งเดียวที่กังวลเมื่อต้องจอดคือ การโดนแกล้งเนื่องจาก รถเป็นหลังคาผ้าใบ หากถูกของมีคมหรือวัสดุที่มีความแหลมจะเกิดความเสียหายได้ง่าย
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักถึงคือ ทุกครั้งที่ติดเครื่องยนต์ เสียงท่อไอเสียจะดังกระหึ่มคำรามชนิด 3 บ้าน 8 บ้านหากบ้านของท่านอยู่ใกล้บ้านคนอื่น หรือขับออกยามวิกาล เสียงคำรามนั้นจะปลุกคนในบ้านได้อย่างไม่ต้องสงสัย
เหมาะกับใคร
ด้วยค่าตัว 17.19 ล้านบาทของMercedes-AMG GT C Roadster คงต้องเป็นบุคคลระดับเศรษฐีขึ้นไป ที่เบื่อซูเปอร์คาร์อื่นๆ แล้ว อยากกลับมาหาความแรงจากเทคโนโลยีแชมป์โลกF1 ที่เรียบง่ายลงตัว ใช้งานได้ทุกวัน พร้อมความสะดวกสบายจากการให้บริการผ่านศูนย์บริการของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ อุ่นใจขับไปได้ทุกที่ไม่มีอะไรต้องกังวล