มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 ( MX-5) ถือกำเนิดขึ้นในยุค 90 ท่ามกลางกระแสความนิยมของรถสปอร์ตขนาดเล็กของยุคนั้น ที่ทุกค่ายต้องมีอยู่ในไลน์การขาย และ เอ็มเอ็กซ์-5 มากับรูปแบบของรถสปอร์ตเปิดประทุนเครื่องยนต์วางหน้าและขับเคลื่อนล้อหลัง โดยมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า มิเอตะ (Miata)
นับจากรุ่นแรก (รหัสNA) มาจนถึงรุ่นปัจจุบัน (รหัส ND) นับเป็นเจเนอเรชันที่สี่แล้วของโรดสเตอร์ผู้เป็นตำนานของมาสด้าและอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ด้วยการเป็นรถสปอร์ตแบบ 2 ที่นั่งที่มียอดขายสูงที่สุดในโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 และยังคงสร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันที่สามารถทำยอดขายทะลุเกิน 1 ล้านคันเรียบร้อยแล้ว
สำหรับรุ่นปัจจุบันเมื่อแรกเปิดตัวทำตลาดในปี 2015 สามารถกวาดรางวัลมาครองได้อย่างมากมายอาทิ รถยอดเยี่ยมแห่งปี โดยในแต่ละปีจะมีขยับปรับเพิ่มออปชันหรือระบบต่างๆ จนกระทั่งปี 2019 มีการขยับปรับเครื่องยนต์ใหม่ พร้อมรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามา เราจึงถือโอกาสนี้ไปทดลองขับมาให้ท่านได้อ่านกัน ก่อนที่รุ่นปี 2020 จะประกาศทำตลาดตามหลังมาในเวลาไม่กี่วัน มาชมกันว่า เอ็มเอ็กซ์-5 มีอะไรน่าสนใจบ้าง
เปิดประทุน ฟูลออปชันปลอดภัย
เริ่มต้นกันด้วย ความแตกต่างระหว่างรุ่นปี 2019 ที่เราขับกับรุ่นปี 2020 ที่มีการแนะนำตัวพร้อมกับราคาใหม่ที่ 2,9050,000 บาท เพิ่มขึ้น 15,000 บาท จากรุ่นปี 2019 ที่มีราคาจำหน่าย 2,890,000 บาท โดยสิ่งที่เพิ่มขึ้นหลักๆ คือ คิ้วบันไดสแตนเลส, เบาะเดินตะเข็บด้วยด้ายสีเทา, กุญแจรถแบบใหม่ และออปชันอื่นอีกเล็กน้อย พร้อมเพิ่มทางเลือกสีใหม่ สีเทา โพลีเมทัล เกรย์
รูปทรงภายนอกมากับแนวคิด โคโดะ ดีไซน์ โดยเป็นหลังคาแข็งเปิดประทุนไฟฟ้า ซึ่งจากลักษณะของพื้นที่การเปิดหลังคาน่าจะถูกเรียกว่าแบบ ทาร์ก้า มากกว่า เนื่องจากมีเพียงตัวหลังคาเท่านั้นที่ถูกยกไปเก็บไว้ในพื้นที่ด้านหลัง ที่ได้รับการออกแบบอย่างดี แยกสัดส่วนชัดเจน โดยไม่ต้องกังวลเวลาต้องขนสัมภาระใส่ท้ายรถ
ส่วนภายในออกแบบได้อย่างลงตัวกะทัดรัดดี คงเอกลักษณ์และให้ความรู้สึกสปอร์ตอย่างเต็มเปี่ยม พร้อมกับลูกเล่นต่างๆ ที่ใส่มาครบตามสมัยนิยม โดยมีสิ่งที่ประทับใจผู้เขียนมากสุดคือ ชุดเครื่องเสียงและลำโพงของ BOSE ที่จัดมาให้ 9 ตำแหน่ง
หัวใจมากับเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน SKYACTIV-G 2.0 กำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 205 นิวตัน-เมตร มีให้เลือกทั้งเกียร์อัตโนมัติและเกียร์ธรรมดา 6 สปีด
ด้านระบบความปลอดภัยจัดเต็มด้วย i-ACTIVSENSE ที่พัฒนาโดยการมุ่งเน้นลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากการคาดการณ์ล่วงหน้า และส่งสัญญานเตือนให้ผู้ขับขี่เพิ่มความระมัดระวังขึ้น โดยมีระบบต่างๆ เช่น ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน (LDWS), ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติแบบ Advance (Advanced SCBS), ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง (SCBS-R), ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA), ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (DAA), ระบบควบคุมความเร็วคงที่ (Cruise Control) พร้อมถุงลมนิรภัยด้านข้างและด้านหน้า 2 คู่
คือความสนุกกำลังดี
การลองขับรอบนี้ของเราจัดให้ทั้งแบบในเมืองและวิ่งออกต่างจังหวัดแบบทางยาวเพื่อจะได้รับทราบกันชัดๆ ว่าเป็นอย่างไร มาเริ่มกันที่การลองขับแบบในเมืองก่อน คันที่เรารับมานั้นเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด เหตุผลในการเลือก คงไม่ใช่เรื่องของความสบาย ใช่ มันคือคำว่า “ความสนุก”
การเข้าเกียร์นั้นง่ายเบามือ คลัทช์นุ่มเท้า ไม่หนักถือว่าขับง่าย และไม่น่ากังวลสำหรับการใช้งานในเมือง คงมีเพียงเรื่องของเวลาที่รถติดหนักๆ แล้วค่อยๆ ขยับ จะต้องเหยียบคลัทช์บ่อย จุดนี้คงต้องทำใจยอมรับก่อนตัดสินใจซื้อ หรือไม่ก็เลือกใช้งานเฉพาะวันว่างหรือยามค่ำคืนที่การจราจรบางเบาแล้ว
ด้วยขนาดที่เล็กแบบนี้ ความคล่องตัวในการขับขี่ คือจุดเด่นที่สุด แถมหาที่จอดง่าย (แม้จะจอดซูเปอร์คาร์ไม่ได้ก็ตาม) การบังคับเลี้ยวสะดวกสบายเบามือ ทัศนวิสัยดีแม้ขนาดตัวรถที่เล็กแต่ไม่มีปัญหาเรื่องของมุมมองต่างๆ การป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกทำได้ดีเท่าที่รถแบบนี้จะทำได้
หากอยากสนุกกับการขับขี่แบบเต็มขั้น แนะนำให้ขับขึ้นทางด่วน คุณจะพบกับความบันเทิงและได้ลิ้มลองอรรถรสของคำว่า หนึบ จากช่วงล่างที่เซ็ตมาให้สมดุลกับน้ำหนักตัวและกำลังของเครื่องยนต์ ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยตัวเลข 184 แรงม้าและแรงบิดเพียง 205 นิวตันเมตร แต่ทำไมเราจึงบอกว่า ขับได้สนุกสนานไม่น้อยหน้าซูเปอร์คาร์ เกินจริงไปหรือไม่
คำตอบ คือคำว่า สมดุล ให้ลองนึกสภาพของถนนบนทางด่วนและการจราจรที่มีรถมากบ้างน้อยบ้างตามแต่จังหวะเวลา เทียบกับการขับซูเปอร์คาร์ ความแรงคงไม่มีทางสู้กันได้ แต่หากมาขับแบบสนุกสนาน จังหวะการมุด การเข้าโค้ง การบังคับควบคุมพวงมาลัย เจ้ามิเอตะนั้นทำได้อย่างลงตัว พละกำลังไม่มากจนเกินไปจนทำให้ต้องเบรกหัวทิ่มเหมือนซูเปอร์คาร์เวลาโดนตัดหน้า แต่หากอยากพุ่งก็แค่สับเกียร์ลง ตัวรถพร้อมทะยาน ความสนุกสนานในการขับขี่จึงเกิดขึ้นจากคำว่า พอดี
สำหรับการขับขี่แบบทางยาวๆ ออกต่างจังหวัดนั้น ต้องยอมรับว่า เรื่องของความสบายในการเดินทางอย่างไรเสียไม่สามารถสู้รถที่มีขนาดสูงหรือใหญ่กว่าได้อย่างแน่นอน แต่ความมั่นใจและความสนุกสนาน มิเอตะ ตอบโจทย์ครบถ้วน ไม่ต้องกังวลเรื่องของกำลังหรือหากขับด้วยความเร็วสูงแล้วรถจะลอย
จุดเด่นที่สุดของมิเอตะ จากการขับทางยาวรวมถึงการเข้าไปขับในสวนแบบถนนแคบคดเคี้ยวไปมา ผู้เขียนขอยกให้แก่ การเข้าโค้ง ที่เกาะหนึบแบบมั่นใจแถมยังให้ความรู้สึกที่สนุกอยากขับไปเรื่อยๆ ไม่เหนื่อยล้า เหมือนการขับรถสปอร์ตที่มีกำลังสูงๆ บางคัน
ส่วนความสวยงามของการออกแบบเราย้ำมาตลอดว่าเป็นความชอบส่วนตัวของแต่ละบุคคล แต่หากถามว่าเราชอบหรือไม่ สารภาพตามตรง ผู้เขียนชอบรูปทรงของ NC เจเนอเรชันที่3 มากกว่าโฉมปัจจุบันที่ขับ
ขณะที่อัตราการบริโภคน้ำมันเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่าทึ่ง แม้เครื่องยนต์จะมีขนาดความจุ 2.0 ลิตร แต่จากการขับทั้งในเมืองและนอกเมือง ขับหาความเร็วสูงสุด มีลากรอบบ้างเล็กน้อย รวมถึงการขับแบบความเร็วคงที่ราว 90-120 กม./ชม. ตัวเลขค่าเฉลี่ยตามการแสดงผลบนหน้าจอระบุ 14.2 กม./ลิตร ตัวเลขแบบนี้นึกว่าขับอีโคคาร์
เหมาะกับใคร
ด้วยราคาค่าตัว 2,905,000 บาท (อิงจากล่าสุดMY2020) ทำให้ มิเอตะ เหมาะกับเศรษฐีที่อยากได้รถเอาไว้เสริมความบันเทิงยามว่าง หรือคนที่ชอบรถขับสนุกแต่ใช้งานทุกวัน และเบื่อซูเปอร์คาร์ที่บ้านตัวเองแล้ว อยากลองหาอะไรใหม่ๆ ที่สนุกสนานไม่น้อยหน้ากันเพียงแค่อารมณ์การขับมันแตกต่างกัน