การได้ตัวแทนจำหน่ายรายใหม่อย่าง MGC เอเชีย ทำให้ “เปอโยต์” กลับมาแจ้งเกิดใหม่อีกครั้งได้อย่างน่าสนใจไม่น้อย ด้วยคุณภาพในระดับรถยุโรป แต่ราคาไม่ต่างจากรถญี่ปุ่นเท่าใดนัก หากเทียบกันแบบรุ่นย่อยต่อรุ่นย่อยแล้ว ช่องว่างราคาอยู่ราว 10% เท่านั้น ดังนั้น การกลับมาสร้างแบรนด์ในครั้งนี้ของ เปอโยต์ จึงเรียกลูกค้าได้เป็นอย่างดี
สำหรับรถยนต์รุ่นแรกที่ใช้เป็นธงในการนำขบวนสิงห์ผยองรอบนี้คือรุ่น 3008 และ 5008 ซึ่งทั้งสองรุ่น มีฐานการผลิตจากประเทศมาเลเซีย และนำเข้ามาทำตลาดในไทยภายใต้เงื่อนไขเขตการค้าเสรีอาเซียน จึงทำให้เสียภาษีนำเข้าในอัตรา 0% อันเป็นที่มาของการทำราคาให้สามารถแข่งขันกับรถญี่ปุ่นที่ผลิตในประเทศไทยได้ และทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง ไม่พลาดการทดลองขับเพื่อมานำเสนอข้อมูลให้ทุกท่านได้อ่านประกอบการตัดสินใจกัน
ดีไซน์ล้ำ ออฟชันแน่น
เปอโยต์ 3008 นั้นถือเป็นเจเนอเรชันที่สองของตระกูลนี้ ซึ่งหลังการแนะนำตัวสู่สายตาชาวโลกในช่วงปลายปี 2016 ได้รับคำชมอย่างมากพร้อมกับการขึ้นแท่นเป็นรถยนต์เปอโยต์ที่ทำสถิติขายดีที่สุดในช่วงระยะเวลาที่สั้นที่สุด ด้วยยอดจองแตะ 100,000 คันในระยะเวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น คล้อยหลังไม่นาน 5008 ที่สเปคเหมือนกันทุกอย่างต่างเพียงขนาดตัวถังยาวกว่าเพื่อรองรับเบาะ 7 ที่นั่ง (3008 เป็นแบบ 5 ที่นั่ง)
รูปทรงภายนอกนั้น ในแง่ของความสวยงามการันตีด้วยรางวัลจากหลายสถาบัน รวมถึงรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรปด้วย(ในปี 2017ที่ออกจำหน่าย) ไฟหน้าในรุ่นเริ่มต้น Active จะเป็นแบบฮาโลเจน ส่วนรุ่น Allure ตัวท็อป จะเป็นแบบ Full LED โดยมีออฟชันเพิ่มได้แก่ หลังคา พาโนรามิค ซันรูฟ และฝากระโปรงท้าย เปิด-ปิด ไฟฟ้า พร้อมระบบแฮนด์ฟรี
ส่วนในประเทศไทย ตัวแทนจำหน่ายรายเดิมเคยนำ 3008 เข้ามาทำตลาดด้วยเครื่องยนต์ดีเซล เคาะราคาจำหน่ายที่ 2.99 ล้านบาท (ที่ราคาสูงนั้นเนื่องจากเป็นการนำเข้าจากฝรั่งเศส) แต่เมื่อเปลี่ยนผู้แทนจำหน่าย 3008 กลับมาใหม่ ด้วยเครื่องยนต์แบบเบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.6 ลิตร Twin Scroll Turbo กำลังสูงสุด 167 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า
ภายในออกแบบในสไตล์ที่ล้ำยุค พวงมาลัยรูปทรงแปลกตา และอยู่ในตำแหน่งที่ตำกว่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ แต่ไม่มีปัญหาในแง่ของการขับขี่ โดยมีปุ่มแพดเดิลชิฟต์ ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์สนุกขึ้น ขณะที่หัวเกียร์มากับดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร ใช้งานง่าย พร้อมช่องเก็บของค่อนข้างกว้างดี
หน้าปัดเป็นแบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว ที่มีรูปแบบการแสดงผลให้เลือกมากกว่า 20 แบบ ส่วนหน้าจอคอนโซลกลางเป็นแบบระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple Carplay และ Mirror Link ปุ่มปรับจัดวางในตำแหน่งที่ใช้งานง่ายสวยงามแบบเปียโนหรู ระบบปรับอากาศเป็นแบบแยกอิสระสองโซนซ้าย-ขวา
เบาะนั่งเป็นแบบหนังแท้ Claudio สีดำ ปรับด้วยไฟฟ้าได้ 8 ทิศทางสำหรับผู้ขับขี่ และปรับได้ 6 ทิศทางสำหรับผู้โดยสาร โดยรุ่น 3008 จะเป็นแบบ 5 ที่นั่ง ส่วนรุ่น 5008 เป็นแบบ 7 ที่นั่ง ซึ่งสามารถพับเบาะแถวที่สามได้เรียบด้วยการกดปุ่มเพียงครั้งเดียว สะดวกสบายและได้พื้นที่เก็บของอย่างสวยงาม
3008 สนุก – 5008 สบาย
ในส่วนของการขับขี่นั้น ใช้เส้นทางกรุงเทพฯ – เขาใหญ่ และเราวิ่งเล่นในเมือง เพื่อลองความคล่องตัวช่วงที่การจราจรหนาแน่น โดยภาพรวมแล้ว ทั้งสองรุ่นเหมือนกันแทบทุกอย่าง เริ่มกันที่รุ่น 3008 เข้าประจำการหลังพวงมาลัย ความรู้สึกแรกเมื่อได้อยู่ใน i-cockpit มันให้ความรู้สึกที่เหมือนกับเราจะได้ขับยานอวกาศหรือเครื่องบินขับไล่อะไรทำนองนั้นเลยทีเดียว
ตำแหน่งของพวงมาลัยอย่างที่บอกไว้ว่า ติดตั้งในระดับต่ำกว่าปกติ ถ้าผู้ขับมีพุงอาจจะติดพุงได้ ส่วนคนปกติทั่วไป ไม่น่าจะมีปัญหาขอแค่เวลาเพื่อทำความคุ้นเคยสักหน่อย จะใช้งานได้ง่าย ด้วยน้ำหนักที่เบามือมาก เรียกว่ามากที่สุดเท่าที่เคยขับมาก็ว่าได้ แต่จะหนักขึ้นเมื่อวิ่งด้วยความเร็วที่สูงขึ้น ใช้งานในเมืองสบายๆ
น้ำหนักของคันเร่งและเบรก ให้ความรู้สึกของการเป็นรถยุโรปแท้ๆ ที่จะมีความแตกต่างกับรถญี่ปุ่นอยู่พอสมควร จังหวะออกตัวนุ่มนวลดี ไม่กระชาก การเปลี่ยนเกียร์เรียบเนียนต่อเนื่อง ส่วนจังหวะเร่งแซงทันใจ หายห่วงในทุกย่านความเร็ว แต่ไม่ถึงกับพุ่ง เพื่อให้เหมาะสมกับการเป็นรถของครอบครัว
ความเร็วที่เราขับขณะเดินทางยาวๆ ส่วนใหญ่อยู่ราว 100-120 กม./ชม. รถทรงตัวนิ่งดี ให้ความรู้สึกเกาะถนน มั่นใจ เสียงลมรบกวนค่อนข้างน้อย เมื่อเข้าสู่ช่วงเขาใหญ่ที่มีทางโค้งขึ้น-ลงเขาเยอะๆ พบว่า พวงมาลัยคมดี ตัวรถเกาะโค้ง มีโยนบ้างตามจังหวะความแรงที่เราใส่เข้าไป แต่หากขับแบบปกติ รับประกันว่า คนหลังนั่งสบายไม่เวียนศีรษะอย่างแน่นอน
ตัดภาพกลับมาที่การใช้งานในเมืองบ้าง ตัวรถดูภายนอกค่อนข้างใหญ่ โดยเฉพาะรุ่น 5008 ที่ยาวกว่า เมื่อใช้งานจริงกับถนนในซอยแคบๆ ไร้ปัญหา ด้วยพวงมาลัยที่เบามือและวงเลี้ยวแคบ พร้อมเซนเซอร์กะระยะและกล้องมองภาพเวลาถอยหลัง ทำให้การใช้งานในเมืองง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลานจอดรถที่หนาแน่นหรือถนนที่รถพลุกพล่าน
ภาพรวมของการขับและการใช้งานของทั้งสองรุ่นนี้แทบไม่แตกต่างกัน จะมีเพียงความรู้สึกเวลาเข้าโค้งแล้ว 3008 เข้านิ่งกว่า เหตุผลมาจากความยาวของตัวถังที่สั้นและเบากว่าทำให้เข้าโค้งได้ดีกว่า ตามหลักพื้นฐานทั่วไป โดย 5008 (น้ำหนัก 1,611กก.) มีน้ำหนักตัวที่มากกว่า 3008 (น้ำหนัก 1,527 กก.) ถึง 84 กิโลกรัม (เทียบกันในรุ่น Allure)
สิ่งหนึ่งที่หลายคนกังวล เกี่ยวกับเปอโยต์ แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องราวของการบริการหลังการขายและอะไหล่ ซึ่งรอบนี้ต้องกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “วัดใจ” เนื่องจากต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ แต่หากมองถึงความตั้งใจของ MGC แล้ว เราให้ 100% เต็มเพราะ MGC วางให้ เปอโยต์ เป็นเส้นเลือดใหญ่ ในการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
หากให้วิเคราะห์ในอนาคต เปอโยต์ น่าจะยืนระยะยาวได้ เนื่องจากการมีโรงงานประกอบรถยนต์ในมาเลเซีย ทำให้ชิ้นส่วนและอะไหล่นั้น จะหาได้ง่ายขึ้น โดยโรงงานดังกล่าวเป็นโรงงานที่ทาง PSA (บริษัทแม่ของเปอโยต์) ลงทุนลุยด้วยตัวเอง ดังนั้น ตัดปัญหาในเรื่องของการเสียสิทธิ์ในการทำตลาดไปได้ ประกอบกับเครื่องยนต์ตัวนี้คือตัวเดียวกับที่ พัฒนาร่วมกันและผลิตให้กับ มินิ นั่นเอง จึงไม่ต้องกลัวเรื่องอะไหล่จะหาไม่ได้ ตัดข้อกังวลนี้ทิ้งไปแบบหายห่วง
เหมาะกับใคร
รถครอบครัวแบบแท้ๆ ที่มากับรูปทรงล้ำสมัย ขับดีตามมาตรฐานรถยุโรป จ่ายในราคาใกล้เคียงรถญี่ปุ่น นับว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่การเป็นคนแรกๆ ของการใช้รถรุ่นใหม่ แปลกๆ จากคนส่วนใหญ่ ข้อดีคือโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ส่วนข้อเสียคือหากเกิดปัญหาขึ้นมา มักจะโดนซ้ำเติม โดยเฉพาะกับคนในบ้าน ดังนั้นควรเคลียร์กันให้จบ และมีมติเป็นเอกฉันท์เสียก่อนจะอุ่นใจที่สุด