เมื่อนึกถึงรถสปอร์ตระดับสุดยอดของโลกสักคันหนึ่ง เชื่อว่าชื่อแรกที่ใครหลายคนนึกถึงคือ “เฟอร์รารี่” ผู้สร้างตำนานมาอย่างมากมายทั้งบนถนนจริง ในสนามแข่ง ยกตัวอย่างง่าย กับการคว้าแชมป์โลกรถสูตรหนึ่งหรือ F1 มากที่สุดในประวัตศาสตร์ (ประเภททีม 16 ครั้ง นักขับ 15 ครั้ง) และ เคยครองตำแหน่งการเป็นแบรนด์ที่มีอิทธิพลสูงที่สุดในโลกประจำปี 2014 รวมถึงเป็นแบรนด์ที่มีรถยนต์ราคาแพงที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน คือ เฟอร์รารี่ 250 จีทีโอ (38.1 ล้านเหรียญสหรัฐ) เฟอร์รารี่จึงได้ชื่อว่าเป็นรถยนต์ที่แสดงตัวตนของผู้เป็นเจ้าของได้อย่างดีเยี่ยมในทุกแง่มุม
อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากสิ่งดีๆ ที่เรากล่าวไป ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นด้านลบของเฟอร์รารี่ โดยลูกค้าของเฟอร์รารี่ได้แสดงความเห็นให้ทีมงานรับฟังมาโดยตลอดนั่นก็คือ เฟอร์รารี่ เป็นรถที่ขับยาก เปรียบประหนึ่งเป็นดั่งม้าที่พร้อมจะพยศตลอดเวลา เนื่องจากความแรงของเครื่องยนต์ที่มากมายมหาศาล เจ้าของทุกคนต้องได้รับการอบรมเพื่อขับขี่อย่างถูกต้องและมีความระมัดระวัง สิ่งเหล่านี้คือ การบ้านที่ทีมงานวิศวกรของม้าลำพองขบคิดมานานจนกระทั่ง เมื่อปีที่แล้วเสร็จสมบูรณ์เป็นครั้งแรก ในโมเดลที่มีชื่อว่า “เฟอร์รารี่ พอร์โตฟิโน่”
การกล่าวเช่นนี้ถูกต้องแล้วหรือ??? เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า เฟอร์รารี่ พอร์โตฟิโน่ นั้นมาแทนที่รุ่น แคลิฟอร์เนีย ซึ่งยุติการทำตลาดไปแล้ว โดยเป็นรถแบบ 2+2 ที่นั่งเหมือนกัน ทำไมเราจึงกล่าวว่า เฟอร์รารี่ พอร์โตฟิโน่ เป็นรุ่นแรกที่ คำตอบอยู่ในบทความนี้ที่เราได้มีโอกาสไปทดลองขับเจ้า เฟอร์รารี่ พอร์โตฟิโน่ ถึงบ้านเกิด “อิตาลี”
ใหม่หมดจด แรงขึ้น แถมเบาลง
เริ่มต้นด้วยโครงสร้างพื้นฐาน แชสซีส์และตัวถัง ออกแบบใหม่ทั้งหมด อาจจะมีเค้าโครงจากรุ่นเดิมแต่ในแง่ของวัสดุและชิ้นส่วนแล้วใหม่หมดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแชสซีส์ ที่น้ำหนักเบาลง ชิ้นส่วนน้อยลง แต่คงความแข็งแรง รวมถึงการออกแบบภายนอกใหม่บนแนวคิดของรถสปอร์ตคูเป้แท้ๆ ที่ครบถ้วนด้านอรรถประโยชน์ในการใช้งาน
วิศวกรดีไซน์ภูมิใจนำเสนอ เส้นสายด้านข้างตัวรถโดยเฉพาะช่องดักลมที่ออกแบบอย่างพิถีพิถันทำให้ตัวรถมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศที่ต่ำลงมาอยู่ในระดับตัวเลข 0.312 Cd เท่านั้น กระจกมองข้างรูปทรงลู่ลมและมีดีไซน์สปอร์ตแถมมองเห็นชัดด้วย ไฟหน้ารูปร่างคล้ายรุ่น 458 แต่ดูเรียวกว่า ไฟท้ายเป็นแบบทรงกลมดูดุดัน พร้อมปลายท่อไอเสียแบบ 4 ท่อ ดูลงตัวกับทรวดทรง
เครื่องยนต์ที่ถือเป็นหัวใจ ยังคงคบหากับ V8 เทอร์โบ ขนาด3.9 ลิตร โดยวางกลางหน้า คือ อยู่ทางด้านหน้าแต่ตำแหน่งเครื่องร่นเข้ามาอยู่หลังแนวล้อหน้า พิกัดกำลัง 600 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 760 นิวตันเมตร (มากกว่า แคลิฟอร์เนีย 40 แรงม้า) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ดูอัลคลัตช์ 7 สปีด น้ำหนักต่อแรงม้าเพียง 2.57 กิโลกรัม/แรงม้า เท่านั้น อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม.ใน 10.8 วินาที ส่วนระบบช่วงล่างคือสิ่งที่เป็นความลับของทีมวิศวกรไม่ขอเปิดเผยข้อมูล
ขณะที่การออกแบบหลังคาแข็งพับเก็บได้ เป็นระบบใหม่ ที่สามารถปิดและเปิดได้ เมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วไม่เกิน 40 กม./ชม. เรียกว่า ขับแบบเปิดประทุนอยู่แล้วถ้าฝนตกก็สามารถกดปิดหลังคาได้โดยไม่ต้องจอดรถ ในเวลาเพียง 14 วินาที ไม่ทันเปียกแน่นอน ที่สำคัญก่อนเปิดประทุนอย่าลืมว่า ไม่มีของที่ขนาดใหญ่อยู่ในฝากระโปรงนะ มิฉะนั้นหลังคาจะเกิดความเสียหายได้
ภายในห้องโดยสารออกแบบใหม่หมดเช่นเดียวกัน เบาะนั่งดีไซน์สปอร์ตขนาดบางลง ปรับไฟฟ้าพร้อมระบบปรับแบบใหม่เพิ่มหลากหลายมากขึ้น เบาะหลังมีพื้นที่วางขามากกว่ารุ่นแคลิฟอร์เนีย โดยคนตัวสูงระดับ 180+ ซม. เข้าไปลองนั่งพบว่านั่งได้พอดี แต่ถ้าให้นั่งทางยาวๆ คงไม่ไหวเพราะน่าจะเมื่อย หากเป็นเด็กจะสบายๆ
คอนโซลกลางดีไซน์ในแบบเฟอร์รารี่ยุคนี้ที่มาพร้อมกับช่องแอร์รูปทรงกลม ดูดุดันแบบสปอร์ตแท้ๆ หน้าจอสัมผัสขนาด 10 นิ้วที่ควบคุมทุกอย่างได้ รวมถึงระบบความบันเทิงและระบบนำทาง รองรับ Apple Carplay พร้อมด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 8.8 นิ้วสำหรับผู้โดยสารที่แสดงข้อมูลต่างๆ ด้านการขับขี่ทั้งความเร็วและรอบเครื่องยนต์ รวมถึงลูกเล่นด้านความบันเทิง เพื่อให้ผู้โดยสารเล่นได้ง่ายขึ้น
พวงมาลัยถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของเฟอร์รารี่ พอร์โตฟิโน่ โดยได้รับการออกแบบใหม่หมด เป็นครั้งแรกที่ใช้พวงมาลัยไฟฟ้า (EPS) รูปทรงท้ายตัดแบบรถแข่ง F1 พร้อมปุ่มต่างๆ ที่สั่งการบนพวงมาลัย ไม่จำเป็นเลื่อนมือไปจับอย่างอื่นที่ไม่จำเป็นในการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นปุ่มติด-ดับเครื่องยนต์ ไฟเลี้ยว รูปแบบการขับขี่ ที่ปัดน้ำฝน รวมถึงเกียร์ที่ออกแบบเป็นแป้นอยู่หลังพวงมาลัย ใช้ง่ายเพียงปลายนี้วสัมผัส
สำหรับค่าตัวในอิตาลี เฟอร์รารี่ พอร์โตฟิโน่ เริ่มต้นอยู่ที่ 190,061 ยูโร โดยจะปรับเพิ่มไปตามออพชันต่างๆ ที่ลูกค้าสั่งได้ตามใจชอบ โดยแต่ละคันจะมีความเป็นหนึ่งเดียว ไม่เหมือนกันเลย
ลงตัวทั้งแรงและการควบคุม
ในการทดลองขับ ทีมงานเฟอร์รารี่ เลือกเส้นทางถนนชนบทในเมืองบารี วิ่งเรียบชายฝั่งทะเล เข้าทางด่วนแบบซุปเปอร์ไฮเวย์และถนนใจกลางเมืองที่มีการจราจรพลุกพล่าน รวมๆ แล้วครบทุกรูปแบบในการใช้งานชีวิตประจำวัน แน่นอนว่าก่อนออกรถต้องมีการอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับการใช้งานเบื้องต้น เพราะเฟอร์รารี่แตกต่างจากรถธรรมดาทั่วไปพอสมควร
หลังติดเครื่องด้วยการกดปุ่มที่พวงมาลัย คุณจะหาเกียร์ไม่เจอ ตรงคอนโซลกลางจะมีแค่ ปุ่ม R, Auto และ Launch เท่านั้น งงเป็นไก่ตาแตกแน่นอน R คือ กดเพื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง Auto คือกดแล้วเดินหน้า ส่วน Launch คือการออกตัวแบบในสนามแข่ง ส่วนการปรับเปลี่ยนเกียร์ อยู่ที่แป้นPaddle Shift หลังพวงมาลัย ขวาเพิ่มขึ้น-ซ้ายลดลง ส่วนเกียร์ว่าง คือกดแป้นซ้าย-ขวาพร้อมกัน
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พร้อมออกเดินทาง กดคันเร่งเพียงเบาๆ ก่อน ด้วยความที่เป็นพวงมาลัยซ้าย ขอทำความคุ้นเคยสักนิดหน่อย ลงสู่ถนนใหญ่ ทัศนวิศัยบอกเลยว่า ชัดเจนดีมาก แตกต่างจากในอดีต กระจกบานหน้าใหญ่ มุมมองเคลียร์ไม่ว่าจะกระจกมองหลังหรือมองข้าง เห็นชัดสบายใจ พวงมาลัยไฟฟ้าน้ำหนักเบามือ ควบคุมง่ายแม่นยำ เข้าโค้งมั่นใจ แต่ยังคงให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติเหมือนเดิม ซึ่งภายหลังการขับวิศวกรถามถึงความรู้สึกของการควบคุมพวงมาลัยว่าเป็นอย่างไร เพราะเป็นอีกหนึ่งสิ่งใหม่ของเฟอร์รารี่ ที่ใส่ให้ พอร์โตฟิโน่
เมื่อถึงช่วงถนนว่าง เรากดคันเร่งแบบคิกดาวน์ อดีนาลีนพลุ่งพล่านแบบทันทีทันใด พร้อมอาการหลังติดเบาะ ความเร็วพุ่งไปแตะระดับ 140 กม. ในเวลาชั่วอึดใจ เหนือสิ่งอื่นใดคือ เสียงคำรามของท่อไอเสียอันเป็นเอกลักษณ์ของค่ายม้าลำพองยังคงมีมนต์เสน่ห์ที่ตอบโจทย์ว่าทำไมเราถึงยอมจ่ายเงินระดับ 24 ล้านบาทเพื่อแลกกับบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกดีและแตกต่างจากคนทั่วไป
ตลอดการขับสลับนั่งบ้างกับระยะทางกว่า 120 กม. ความเร็วที่ใช้อยู่ราว 60-120 กม./ชม. การทรงตัวดีเยี่ยม ตัวรถควบคุมง่าย แม้ในพื้นที่ถนนแคบๆ ผู้หญิงขับได้อย่างแน่นอน การป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกยอดเยี่ยมแม้จะเป็นรถแบบเปิดประทุน และแน่นอนว่าเราทดลองขับทั้งแบบเปิดประทุนและปิดหลังคา รวมถึงทดลองปิด-เปิดหลังคาขณะวิ่งด้วย ทำได้ประทับใจเพราะมันง่ายเพียงนิ้วสัมผัสปุ่มเดียวเท่านั้น
ความเร็วสูงสุดในการทดลองขับรอบนี้สารภาพว่าใจไม่ถึง ลองวิ่งแค่ 180 กม./ชม. เท่านั้น เนื่องจากสภาพการจราจรที่ไม่เอื้ออำนวย รวมถึงในช่วงบ่ายของการทดลองขับฝนตกลงมาตลอดเส้นทาง ทำให้ไม่สามารถใช้ความเร็วสูงได้ รวมถึงการลองขับในโหมดสปอร์ตและโหมดปิดการช่วยเหลือด้านการทรงตัวที่ทีมวิศวกรทุกคนแนะนำให้ทดลอง เราไม่ได้ลอง ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่
กล่าวโดยสรุป เฟอร์รารี่ พอร์โตฟิโน่ ขับแล้วลงตัวอย่างมากทั้งกำลังเครื่องยนต์และน้ำหนักตัวที่สมดุล ส่งผลให้การขับขี่ตอบสนองตรงตามคอนเซ็ปต์ในการสร้างรุ่นนี้ขึ้น ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบ พอร์โตฟิโน่ กับ 488 แล้วสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนคือ พอร์โตฟิโน่ มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่า ขับขี่ง่ายกว่า สะดวกในการนำไปใช้แบบขับขี่ได้ทุกวันอย่างแท้จริง
เหมาะกับใคร
คงต้องบอกว่า ด้วยค่าตัวราว 24 ล้านบาท มหาเศรษฐีที่กำลังมองหารถระดับนี้แล้วสามารถใช้งานได้ทุกวัน ขับง่ายจริงๆ ไม่ทิ้งความแรง คงความสนุกสนาน และมีเสียงท่อที่บาดหัวใจ “เฟอร์รารี่ พอร์โตฟิโน่” สามารถตอบโจทย์ท่านได้อย่างแน่นอน ส่วนถ้าอยากได้แล้วจะจองรอนานแค่ไหน อันนี้ต้องถาม คาวาลิโน มอเตอร์ ที่แว่วว่าปัจจุบันแต่ละคันรอกันข้ามปีเลยทีเดียว