ท่ามกลางตลาดรองเท้าที่มีมากมายหลายแบรนด์ "คาเนีย (Cania)" คือหนึ่งในแบรนด์ที่น่าจับตามอง แม้จะเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ทว่าแนวคิด ความประณีตในการผลิตล้วน "มีดีที่แตกต่าง" ยิ่งพอมารู้ว่าอยู่ภายใต้การบริหารของบอสใหญ่ "บิ๊กสตาร์" ยิ่งชวนให้อยากรู้จัก "คาเนีย" มากขึ้น
"หัวใจของ คาเนีย คือการซัพพอร์ต เราทุ่มงบหลักสิบล้านเพื่อปั้นแบรนด์นี้ขึ้นมา" สุรชัย กิจกำจาย กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิ๊กสตาร์ จำกัด ผู้ก่อตั้ง และเจ้าของแบรนด์รองเท้าแตะวัยรุ่นชื่อดังอย่าง "แกมโบล" เริ่มต้นเล่าถึงแบรนด์น้องใหม่ในเครือ ก่อนจะเผยให้ฟังต่อไปว่า "รองเท้าแตะวัยรุ่นเรามีแกมโบลแล้ว ดังนั้นคาเนียคือตัวแทนตลาดกลุ่มผู้ใหญ่ที่พอจะมีกำลังซื้อ โดยเจาะกลุ่มคนวัยทำงาน คนที่มี ครอบครัวให้ชัดเจนเพื่อจะได้ไม่ทับซ้อนกัน"
แม้ราคาจะสูงกว่า "แกมโบล" ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่เรื่องของคุณภาพ และความพิถีพิถันในการผลิตย่อมสูงตามไปด้วย ที่เป็นเช่นนี้ เพราะ "ผู้ใหญ่" หากพออายุมากขึ้น น้ำหนักตัวเยอะขึ้น การใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้ เช่น อาการปวดเท้า ปวดเข่า เป็นต้น
"ผมเป็นคนหนึ่งที่ใส่รองเท้าแตะ ถ้าเลือกไม่ดีก็อาจปวดเท้า ปวดข้อได้ ถ้าเลือกที่มันนุ่ม ใส่สบาย สามารถรองรับน้ำหนักพร้อมๆ กับดูแลเท้าเพื่อการเดินที่รู้สึกดีกว่า ผมว่ามันคือหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับเท้าของเรา ยิ่งถ้ามีความทนทาน ใส่แล้วดูดีมีสไตล์ ราคาเข้าถึงง่าย ก็ย่อมคุ้มค่ากับเงินที่ต้องเสียไป"
"ใช่ครับ" ศักดิ์ดา โตรื่น ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท บิ๊กสตาร์ จำกัด นั่งพยักหน้าเห็นด้วยอยู่ข้างๆ ซึ่งเขาก็เป็นคนหนึ่งที่พิถีพิถันในการเลือกซื้อรองเท้า โดยเฉพาะรองเท้าแตะเพื่อใส่ในวันสบายๆ โดยเน้นการใช้งานที่ตอบโจทย์ทั้งสุขภาพเท้า ให้ความรู้สึกนุ่มสบาย รวมไปถึงดีไซน์ที่ต้องเหมาะกับวัย ไม่แก่ หรือดูแฟชั่นจนขาดความน่าเชื่อถือ
เช่นเดียวกับ "คาเนีย" ที่ทั้งสองท่าน บอกว่า เป็นรองเท้าที่ผลิตขึ้นมาเพื่อรองรับทั้งสุขภาพเท้า และดีไซน์ที่ดูดี มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนั้นยังเป็นตัวแทนของการแสดงออกถึงความรัก และความห่วงใย ซึ่งไม่เฉพาะแต่ตัวเราเอง แต่ยังรวมถึงคนรอบข้างที่พร้อมดูแลกันและกัน เช่น พ่อแม่, สามีภรรยา,คู่รัก
เห็นได้จาก แคมเปญ Walk Back To Love ที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ เน้นไปที่สถาบันครอบครัว เพราะอยากสนับสนุนให้คนในครอบครัวดูแลซึ่งกันและกัน สอดรับกับความเป็นคาเนียที่พร้อมดูแล…แคร์ทุกก้าว
"แนวคิดของแคมเปญนี้ เป็นโฆษณาในรูปแบบออนไลน์ เป็นวิดีโอถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกด้วยการพาคู่รักย้อนไปดูสิ่งของในความทรงจำเพื่อให้พวกเขาจำก้าวที่เคยผ่านมาร่วมกัน และรู้ว่าจะทำให้ก้าวต่อๆ ไปในอนาคตนั้นเดินเคียงข้างกัน ซัพพอร์ตซึ่งกันและกันอย่างไร เหมือนกับแบรนด์คาเนียที่ไม่ใช่ซัพพอร์ตทางกายภาพ แต่เราซัพพอร์ตทางใจด้วย ไม่ว่าจะคู่รัก คนในครอบครัว หรือตัวผู้สวมใส่เอง" ศักดิ์ดาในฐานะที่เขาดูแลการตลาดของคาเนียอธิบาย
นับเป็นแคมเปญที่ได้รับผลการตอบรับอย่างดี สามารถสะท้อนตัวตนแบรนด์คาเนีย "ดูแล...แคร์ทุกก้าว" ได้อย่างแนบเนียน โดยเลือกใช้การเดินย้อนกลับไปสำรวจและทบทวนวันเก่าๆ แล้วค่อยเดินกลับมาที่ปัจจุบัน และมุมมองในอนาคต เพราะความรักต่างประกอบขึ้นด้วยผู้คนและความสัมพันธ์ที่เป็นเอกลักษณ์ สะท้อนแนวคิดการผลิต และการออกแบบรองเท้าที่มีความเฉพาะ ไม่เหมือนใคร และเป็นสิ่งที่ไม่สลายหายไปตามกาลเวลา
ดังนั้น กลุ่มเป้าหมายหลักจึงเน้นไปที่คู่รักหรือครอบครัว และเน้นสื่อสารไปยังคนที่มีอิทธิพลในการซื้อสูงก่อน ซึ่งก็คือ "ผู้หญิง" เพื่อให้เห็นภาพและเข้าใจคำว่า "ดูแล…แคร์ทุกก้าว"
"กระแสตอบรับดีเป็นที่น่าพอใจครับ กลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว มีการรับรู้ในแบรนด์ดีขึ้น ยอดขายดีขึ้นตามลำดับ ที่น่าตกใจเหนือความคาดหมายคือ กลุ่มพระสงฆ์ และกลุ่มคนอายุ 60 ขึ้นไปที่นิยมซื้อรองเท้าแตะรัดส้นไปใส่กัน" ศักดิ์ดาเผยถึงผลตอบรับจากแคมเปญที่ผ่านมา และกลุ่มตลาดใหม่ๆ
เช่นเดียวกับแคมเปญในปีนี้ที่ยังคงตั้งอยู่บนแนวคิด "ดูแล…แคร์ทุกก้าว" ไม่ได้เน้นขายเฉพาะโลโก้เพื่อสร้างการจดจำ แต่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของเนื้อหาที่นำเสนอ
"อย่าง Walk Back To Love เราทำเป็นวิดีโอความยาวไม่นาน แต่เน้นอารมณ์ และคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ ซึ่งเราให้ความสำคัญตรงนี้มากกว่าการใส่โลโก้แบรนด์ และสินค้าเข้าไป เพราะมันจะเสียอรรถรสในการรับชม" ศักดิ์ดาเน้นย้ำถึงการขายแบรนด์ที่ต้องแนบเนียน ไม่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกเอียนกับการถูกยัดเยียดแบรนด์มากจนเกินไป
ส่วนโลโก้ ภาพ หรือคุณสมบัติของสินค้าก็เลือกไปเน้นในช่องทางอื่นๆ แทน อย่างที่ผ่านมาเลือกสื่อสารผ่านช่องทางออฟไลน์เป็นหลัก เช่น TVC (ช่องทางการโฆษณาผ่านโทรทัศน์) และ OOH (ช่องทางการโฆษณาที่สามารถพบเห็นได้นอกบ้าน เช่น ป้ายบิลบอร์ด ป้ายโฆษณาตามที่ต่างๆ) เป็นต้น
อย่างไรก็ดี หากถามว่า การทำโฆษณาโดยไม่เน้นโลโก้ของแบรนด์หรือสินค้าโดยตรงจะทำให้เกิดโอกาสเข้าถึงใจผู้บริโภคมากกว่าการโฆษณาโดยตรงหรือไม่ ศักดาบอกว่า "อยู่ที่จุดประสงค์ของแต่ละแคมเปญมากกว่า ซึ่งเราต้องหาจุดลงตัวเพื่อให้เนื้อหาหลัก ภาพสินค้า และโลโก้แบรนด์สามารถไปด้วยกันได้"
สำหรับทิศทางในอนาคต เนื่องจากเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน กลยุทธ์แรกที่ "สุรชัย" และ "ศักดิ์ดา" เร่งดำเนินการอยู่ก็คือการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทางทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้ และชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างจากรองเท้าในกลุ่มเดียวกันโดยเลือกใช้การสื่อสารแบบครอบคลุม 360 องศา
ส่วนช่องทางการจำหน่าย มีขายที่ร้านรองเท้า และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ เช่น Lazada , Looksi เป็นต้น
"เราหวังจะเป็นแบรนด์รองเท้าสัญชาติไทยชั้นนำในตลาดประเทศไทยภายใน 5 ปี และนำพาแบรนด์ไทยสู่ตลาดโลกภายใน 10 ปี" บอสใหญ่แห่งบิ๊กสตาร์ให้ความเชื่อมั่น พร้อมกับเน้นย้ำถึง "การขายคุณภาพ" ซึ่งทางบริษัทให้ความสำคัญในการผลิตรองเท้ามาโดยตลอด ปัจจุบัน "คาเนีย" มีให้เลือกกว่า 50 แบบ
สุดท้ายนี้ แม้จะเป็นแบรนด์รองเท้าน้องใหม่ในตลาดรองเท้าที่แข่งขันกันสูง แต่ความใหม่ก็เป็นเพียงแค่ชื่อ เพราะ "ความเก๋า" ภายใต้การบริหารของบอสใหญ่ "บิ๊กสตาร์" ที่เคยรุกตลาดจน "แกมโบล" ติด 1 ใน 3 แบรนด์รองเท้าแตะและรองเท้าลำลองแฟชั่นระดับประเทศ เชื่อว่าคู่แข่งคงกำลังจับตาดูอยู่
"เราตั้งใจ และใส่ใจในทุกๆ ขั้นตอน" สุรชัยบอก พร้อมกับย้ำทิ้งท้ายถึงความมีดีที่แตกต่าง "สิ่งที่คาเนียมี แต่บางเจ้าอาจไม่มีคือความพิถีพิถันในการผลิต รองเท้าทุกคู่ของคาเนียจะเป็นงานแฮน์เมค เสริมด้วยนวัตกรรมการผลิต C-Step Technology™ (ซี-สเต็ป เทคโนโลยี) เทคโนโลยีที่เป็นการรวมวัสดุ PU และ EVA เข้าด้วยกัน เอกสิทธิ์เฉพาะตัวของคาเนีย ทำให้ส่วนที่สัมผัสกับเท้า นุ่ม ใส่สบาย แต่ส่วนที่สัมผัสกับพื้นแข็งแรง แถมยังมีอายุการใช้งานยาวนาน ในราคาเริ่มต้นที่ 300 บาท"
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Facebook Fanpage : CaniaThailand
เว็บไซต์ : www.cania.co.th
"หัวใจของ คาเนีย คือการซัพพอร์ต เราทุ่มงบหลักสิบล้านเพื่อปั้นแบรนด์นี้ขึ้นมา" สุรชัย กิจกำจาย กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิ๊กสตาร์ จำกัด ผู้ก่อตั้ง และเจ้าของแบรนด์รองเท้าแตะวัยรุ่นชื่อดังอย่าง "แกมโบล" เริ่มต้นเล่าถึงแบรนด์น้องใหม่ในเครือ ก่อนจะเผยให้ฟังต่อไปว่า "รองเท้าแตะวัยรุ่นเรามีแกมโบลแล้ว ดังนั้นคาเนียคือตัวแทนตลาดกลุ่มผู้ใหญ่ที่พอจะมีกำลังซื้อ โดยเจาะกลุ่มคนวัยทำงาน คนที่มี ครอบครัวให้ชัดเจนเพื่อจะได้ไม่ทับซ้อนกัน"
สุรชัย กิจกำจาย บอสใหญ่แห่ง “บิ๊กสตาร์”
แม้ราคาจะสูงกว่า "แกมโบล" ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่เรื่องของคุณภาพ และความพิถีพิถันในการผลิตย่อมสูงตามไปด้วย ที่เป็นเช่นนี้ เพราะ "ผู้ใหญ่" หากพออายุมากขึ้น น้ำหนักตัวเยอะขึ้น การใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้ เช่น อาการปวดเท้า ปวดเข่า เป็นต้น
"ผมเป็นคนหนึ่งที่ใส่รองเท้าแตะ ถ้าเลือกไม่ดีก็อาจปวดเท้า ปวดข้อได้ ถ้าเลือกที่มันนุ่ม ใส่สบาย สามารถรองรับน้ำหนักพร้อมๆ กับดูแลเท้าเพื่อการเดินที่รู้สึกดีกว่า ผมว่ามันคือหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับเท้าของเรา ยิ่งถ้ามีความทนทาน ใส่แล้วดูดีมีสไตล์ ราคาเข้าถึงง่าย ก็ย่อมคุ้มค่ากับเงินที่ต้องเสียไป"
"ใช่ครับ" ศักดิ์ดา โตรื่น ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท บิ๊กสตาร์ จำกัด นั่งพยักหน้าเห็นด้วยอยู่ข้างๆ ซึ่งเขาก็เป็นคนหนึ่งที่พิถีพิถันในการเลือกซื้อรองเท้า โดยเฉพาะรองเท้าแตะเพื่อใส่ในวันสบายๆ โดยเน้นการใช้งานที่ตอบโจทย์ทั้งสุขภาพเท้า ให้ความรู้สึกนุ่มสบาย รวมไปถึงดีไซน์ที่ต้องเหมาะกับวัย ไม่แก่ หรือดูแฟชั่นจนขาดความน่าเชื่อถือ
“คาเนีย” ดูแล…แคร์ทุกก้าว เอาใจวัยทำงาน ถูกใจคนรักสุขภาพ
สุรชัย กิจกำจาย กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิ๊กสตาร์ จำกัด
ศักดิ์ดา โตรื่น ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท บิ๊กสตาร์ จำกัด
เช่นเดียวกับ "คาเนีย" ที่ทั้งสองท่าน บอกว่า เป็นรองเท้าที่ผลิตขึ้นมาเพื่อรองรับทั้งสุขภาพเท้า และดีไซน์ที่ดูดี มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนั้นยังเป็นตัวแทนของการแสดงออกถึงความรัก และความห่วงใย ซึ่งไม่เฉพาะแต่ตัวเราเอง แต่ยังรวมถึงคนรอบข้างที่พร้อมดูแลกันและกัน เช่น พ่อแม่, สามีภรรยา,คู่รัก
เห็นได้จาก แคมเปญ Walk Back To Love ที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ เน้นไปที่สถาบันครอบครัว เพราะอยากสนับสนุนให้คนในครอบครัวดูแลซึ่งกันและกัน สอดรับกับความเป็นคาเนียที่พร้อมดูแล…แคร์ทุกก้าว
"แนวคิดของแคมเปญนี้ เป็นโฆษณาในรูปแบบออนไลน์ เป็นวิดีโอถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกด้วยการพาคู่รักย้อนไปดูสิ่งของในความทรงจำเพื่อให้พวกเขาจำก้าวที่เคยผ่านมาร่วมกัน และรู้ว่าจะทำให้ก้าวต่อๆ ไปในอนาคตนั้นเดินเคียงข้างกัน ซัพพอร์ตซึ่งกันและกันอย่างไร เหมือนกับแบรนด์คาเนียที่ไม่ใช่ซัพพอร์ตทางกายภาพ แต่เราซัพพอร์ตทางใจด้วย ไม่ว่าจะคู่รัก คนในครอบครัว หรือตัวผู้สวมใส่เอง" ศักดิ์ดาในฐานะที่เขาดูแลการตลาดของคาเนียอธิบาย
นับเป็นแคมเปญที่ได้รับผลการตอบรับอย่างดี สามารถสะท้อนตัวตนแบรนด์คาเนีย "ดูแล...แคร์ทุกก้าว" ได้อย่างแนบเนียน โดยเลือกใช้การเดินย้อนกลับไปสำรวจและทบทวนวันเก่าๆ แล้วค่อยเดินกลับมาที่ปัจจุบัน และมุมมองในอนาคต เพราะความรักต่างประกอบขึ้นด้วยผู้คนและความสัมพันธ์ที่เป็นเอกลักษณ์ สะท้อนแนวคิดการผลิต และการออกแบบรองเท้าที่มีความเฉพาะ ไม่เหมือนใคร และเป็นสิ่งที่ไม่สลายหายไปตามกาลเวลา
ดังนั้น กลุ่มเป้าหมายหลักจึงเน้นไปที่คู่รักหรือครอบครัว และเน้นสื่อสารไปยังคนที่มีอิทธิพลในการซื้อสูงก่อน ซึ่งก็คือ "ผู้หญิง" เพื่อให้เห็นภาพและเข้าใจคำว่า "ดูแล…แคร์ทุกก้าว"
"กระแสตอบรับดีเป็นที่น่าพอใจครับ กลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว มีการรับรู้ในแบรนด์ดีขึ้น ยอดขายดีขึ้นตามลำดับ ที่น่าตกใจเหนือความคาดหมายคือ กลุ่มพระสงฆ์ และกลุ่มคนอายุ 60 ขึ้นไปที่นิยมซื้อรองเท้าแตะรัดส้นไปใส่กัน" ศักดิ์ดาเผยถึงผลตอบรับจากแคมเปญที่ผ่านมา และกลุ่มตลาดใหม่ๆ
เช่นเดียวกับแคมเปญในปีนี้ที่ยังคงตั้งอยู่บนแนวคิด "ดูแล…แคร์ทุกก้าว" ไม่ได้เน้นขายเฉพาะโลโก้เพื่อสร้างการจดจำ แต่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของเนื้อหาที่นำเสนอ
"อย่าง Walk Back To Love เราทำเป็นวิดีโอความยาวไม่นาน แต่เน้นอารมณ์ และคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ ซึ่งเราให้ความสำคัญตรงนี้มากกว่าการใส่โลโก้แบรนด์ และสินค้าเข้าไป เพราะมันจะเสียอรรถรสในการรับชม" ศักดิ์ดาเน้นย้ำถึงการขายแบรนด์ที่ต้องแนบเนียน ไม่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกเอียนกับการถูกยัดเยียดแบรนด์มากจนเกินไป
ส่วนโลโก้ ภาพ หรือคุณสมบัติของสินค้าก็เลือกไปเน้นในช่องทางอื่นๆ แทน อย่างที่ผ่านมาเลือกสื่อสารผ่านช่องทางออฟไลน์เป็นหลัก เช่น TVC (ช่องทางการโฆษณาผ่านโทรทัศน์) และ OOH (ช่องทางการโฆษณาที่สามารถพบเห็นได้นอกบ้าน เช่น ป้ายบิลบอร์ด ป้ายโฆษณาตามที่ต่างๆ) เป็นต้น
อย่างไรก็ดี หากถามว่า การทำโฆษณาโดยไม่เน้นโลโก้ของแบรนด์หรือสินค้าโดยตรงจะทำให้เกิดโอกาสเข้าถึงใจผู้บริโภคมากกว่าการโฆษณาโดยตรงหรือไม่ ศักดาบอกว่า "อยู่ที่จุดประสงค์ของแต่ละแคมเปญมากกว่า ซึ่งเราต้องหาจุดลงตัวเพื่อให้เนื้อหาหลัก ภาพสินค้า และโลโก้แบรนด์สามารถไปด้วยกันได้"
สำหรับทิศทางในอนาคต เนื่องจากเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน กลยุทธ์แรกที่ "สุรชัย" และ "ศักดิ์ดา" เร่งดำเนินการอยู่ก็คือการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทางทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้ และชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างจากรองเท้าในกลุ่มเดียวกันโดยเลือกใช้การสื่อสารแบบครอบคลุม 360 องศา
ส่วนช่องทางการจำหน่าย มีขายที่ร้านรองเท้า และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ เช่น Lazada , Looksi เป็นต้น
"เราหวังจะเป็นแบรนด์รองเท้าสัญชาติไทยชั้นนำในตลาดประเทศไทยภายใน 5 ปี และนำพาแบรนด์ไทยสู่ตลาดโลกภายใน 10 ปี" บอสใหญ่แห่งบิ๊กสตาร์ให้ความเชื่อมั่น พร้อมกับเน้นย้ำถึง "การขายคุณภาพ" ซึ่งทางบริษัทให้ความสำคัญในการผลิตรองเท้ามาโดยตลอด ปัจจุบัน "คาเนีย" มีให้เลือกกว่า 50 แบบ
สุดท้ายนี้ แม้จะเป็นแบรนด์รองเท้าน้องใหม่ในตลาดรองเท้าที่แข่งขันกันสูง แต่ความใหม่ก็เป็นเพียงแค่ชื่อ เพราะ "ความเก๋า" ภายใต้การบริหารของบอสใหญ่ "บิ๊กสตาร์" ที่เคยรุกตลาดจน "แกมโบล" ติด 1 ใน 3 แบรนด์รองเท้าแตะและรองเท้าลำลองแฟชั่นระดับประเทศ เชื่อว่าคู่แข่งคงกำลังจับตาดูอยู่
"เราตั้งใจ และใส่ใจในทุกๆ ขั้นตอน" สุรชัยบอก พร้อมกับย้ำทิ้งท้ายถึงความมีดีที่แตกต่าง "สิ่งที่คาเนียมี แต่บางเจ้าอาจไม่มีคือความพิถีพิถันในการผลิต รองเท้าทุกคู่ของคาเนียจะเป็นงานแฮน์เมค เสริมด้วยนวัตกรรมการผลิต C-Step Technology™ (ซี-สเต็ป เทคโนโลยี) เทคโนโลยีที่เป็นการรวมวัสดุ PU และ EVA เข้าด้วยกัน เอกสิทธิ์เฉพาะตัวของคาเนีย ทำให้ส่วนที่สัมผัสกับเท้า นุ่ม ใส่สบาย แต่ส่วนที่สัมผัสกับพื้นแข็งแรง แถมยังมีอายุการใช้งานยาวนาน ในราคาเริ่มต้นที่ 300 บาท"
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Facebook Fanpage : CaniaThailand
เว็บไซต์ : www.cania.co.th
“สุรชัย” เจ้าของรองเท้าแบรนด์ไทยชื่อดังที่มีมูลค่าธุรกิจนับพันล้าน
บิ๊กสตาร์กับรางวัลการันตีต่างๆ
เรื่อง “รองเท้า” ไว้ใจ “สุรชัย กิจกำจาย”