หลังประสบความสำเร็จอย่างมากในฐานะรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV (Battery Electric Vehicle) ที่ผลิตในเชิงพาณิชย์รุ่นแรกของโลก ตอนนี้นิสสัน เปิดตัวโฉมใหม่ของ LEAF ออกสู่ตลาดแล้ว พร้อมกับอัพเกรดหน้าตาที่หันมาเน้นความสปอร์ตมากขึ้นกว่าเดิม แถมด้วยสมรรถนะในเรื่องการจัดการด้านพลังงานที่ทำให้การชาร์จ 1 ครั้งสามารถแล่นทำระยะทางที่มากกว่าเดิมเกือบเท่าตัว จนตอนนี้มีตัวเลขมากกว่า 400 กิโลเมตรแล้ว โดยที่ยังมีราคาในระดับที่เป็นเจ้าของได้
LEAF หรือ Leading, Environmentally Friendly, Affordable Family Vehicle เป็นโปรเจ็กต์รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจากการชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่รุ่นแรกของโลกนับจากที่ GM ถอดปลั๊ก EV1 ออกสู่ตลาดเมื่อปลายทศวรรษที่ 1990 โดย LEAF รุ่นแรกเปิดตัวออกสู่ตลาดในช่วงปี 2010 และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างมาก เพราะเข้ามาในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์น้ำมันพอดี และประชาชนโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเริ่มมองหาทางเลือกอื่นในการเดินทาง ที่ไม่ใช่รถยนต์สันดาปภายใน อีกทั้งราคาของ LEAF หลังจากที่ได้รับการสนับสนุนจากทางภาครัฐด้วยแล้ว อยู่ในระดับที่สามารถเป็นเจ้าของได้ เรียกว่ามีราคาใกล้เคียงกับรถยนต์ครอบครัวในกลุ่ม D-Car เลย จึงไม่น่าแปลกใจที่ในรุ่นแรกจะมียอดขายมากกว่า 283,000 คันทั่วโลก
สำหรับรุ่นใหม่ซึ่งจะเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 นั้น มาพร้อมกับความเปลี่ยนหลายอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องของภาพลักษณ์ เพราะจริงอยู่ที่ตัวยังคงเป็นแฮทช์แบ็ก 5 ประตู แต่ก็ได้รับการเพิ่มความสวยและความสปอร์ตด้วยเส้นสายที่โฉบเฉี่ยวซึ่งถือเป็นดีไซน์ใหม่ล่าสุดของทางนิสสันพร้อมค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทานหรือ Cd เพียง 0.28 ขณะที่ตัวรถเองมาพร้อมกับความยาว 4,480 มิลลิเมตร กว้าง 1,790 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร ซึ่งก็เทียบแล้วคือ C-Car รุ่นหนึ่งในตลาด
สิ่งที่น่าสนใจคือ การที่นิสสัน ทำให้ LEAF มีความสามารถเพิ่มขึ้นและทำให้ข้อกังวลของคนใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV หมดไป นั่นคือ ตัวเลขระยะทางในการแล่นต่อการชาร์จ 1 ครั้ง จากเดิมที่รุ่นแรกทำได้ในระดับ 200 กิโลเมตร แต่สำหรับรุ่นใหม่สามารถเพิ่มขึ้นเป็น 400 กิโลเมตร (เมื่อขับด้วยความเร็วคงที่ ตามมาตรฐาน JC08 ของญี่ปุ่น) โดยแบตเตอรี่เองก็มีขนาด 40kWh และเป็นแบบลิเธียม-ไอออน ซึ่งมีขนาดเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม ที่มีเพียงแค่ 30 kWh
ส่วนการชาร์จ ถ้าเป็นการชาร์จปกติผ่านทางไฟขนาด 3kW จะใช้เวลาราว 16 ชั่วโมง แต่จะลดลงเหลือ 8 ชั่วโมงสำหรับการชาร์จผ่านไฟ 6kw และมีโหมด Quick Charge ซึ่งใช้เวลาเพียง 40 นาทีในการชาร์จไฟฟ้าจนมีตัวเลขอยู่ในระดับ 80% ของความจุแบตเตอรี่ทั้งหมด ส่วนในด้านสมรรถนะการขับขี่ ตัวรถสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 144 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากมอเตอร์ไฟฟ้ารหัส EM57 ซึ่งมีกำลัง 150 แรงม้า ที่ 3,283-9,795 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 32.6 กก.-ม. ที่ 0-3,283 รอบ/นาที
นอกจากสมรรถนะที่ดีขึ้นแล้ว LEAF ใหม่ยังได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไป เช่น ProPILOT ซึ่งระบบสามารถช่วยควบคุมและรักษาระยะห่างจากรถยนต์คันหน้า ในช่วงความเร็ว 30-100 กิโลเมตร ทำให้สามารถลดภาระในระหว่างการขับบนเส้นทางตรงและระยะทางไกล และจะมีการหมุนพวงมาลัยเพื่อให้รถยนต์อยู่ตรงกลางของช่องทาง ส่วนอีกอันคือระบบ e-Paddle ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเซ็ตการทำงานของแป้นคันเร่งให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องการเร่งหรือลดความเร็ว
ส่วนเทคโนโลยีที่เหลือก็มีทั้ง Lane Intervention, Lane Departure Warning, Intelligent Emergency Braking, Blind Spot Warning, Traffic Sign Recognition, Rear Cross Traffic Alert และ Intelligent Around View Monitor ซึ่งเราๆ ท่านๆ คุ้นเคยกันอยู่แลบ้ว เพราะเป็นมาตรฐานในรถยนต์ที่ขายอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับราคาของ LEAF ในสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะอยู่ที่ 29,990 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 989,000 บาท และจะเริ่มทำตลาดทั่วโลกในปลายปีนี้ ซึ่งก็รวมถึงเมืองไทยที่แว่วข่าวว่าจะมีเข้ามาทำตลาดด้วย เพียงแต่จะรอกันนานถึงปลายปีหน้าหรือไม่ ต้องรอฟังคำตอบ
LEAF หรือ Leading, Environmentally Friendly, Affordable Family Vehicle เป็นโปรเจ็กต์รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจากการชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่รุ่นแรกของโลกนับจากที่ GM ถอดปลั๊ก EV1 ออกสู่ตลาดเมื่อปลายทศวรรษที่ 1990 โดย LEAF รุ่นแรกเปิดตัวออกสู่ตลาดในช่วงปี 2010 และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างมาก เพราะเข้ามาในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์น้ำมันพอดี และประชาชนโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเริ่มมองหาทางเลือกอื่นในการเดินทาง ที่ไม่ใช่รถยนต์สันดาปภายใน อีกทั้งราคาของ LEAF หลังจากที่ได้รับการสนับสนุนจากทางภาครัฐด้วยแล้ว อยู่ในระดับที่สามารถเป็นเจ้าของได้ เรียกว่ามีราคาใกล้เคียงกับรถยนต์ครอบครัวในกลุ่ม D-Car เลย จึงไม่น่าแปลกใจที่ในรุ่นแรกจะมียอดขายมากกว่า 283,000 คันทั่วโลก
สำหรับรุ่นใหม่ซึ่งจะเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 นั้น มาพร้อมกับความเปลี่ยนหลายอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องของภาพลักษณ์ เพราะจริงอยู่ที่ตัวยังคงเป็นแฮทช์แบ็ก 5 ประตู แต่ก็ได้รับการเพิ่มความสวยและความสปอร์ตด้วยเส้นสายที่โฉบเฉี่ยวซึ่งถือเป็นดีไซน์ใหม่ล่าสุดของทางนิสสันพร้อมค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทานหรือ Cd เพียง 0.28 ขณะที่ตัวรถเองมาพร้อมกับความยาว 4,480 มิลลิเมตร กว้าง 1,790 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร ซึ่งก็เทียบแล้วคือ C-Car รุ่นหนึ่งในตลาด
สิ่งที่น่าสนใจคือ การที่นิสสัน ทำให้ LEAF มีความสามารถเพิ่มขึ้นและทำให้ข้อกังวลของคนใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV หมดไป นั่นคือ ตัวเลขระยะทางในการแล่นต่อการชาร์จ 1 ครั้ง จากเดิมที่รุ่นแรกทำได้ในระดับ 200 กิโลเมตร แต่สำหรับรุ่นใหม่สามารถเพิ่มขึ้นเป็น 400 กิโลเมตร (เมื่อขับด้วยความเร็วคงที่ ตามมาตรฐาน JC08 ของญี่ปุ่น) โดยแบตเตอรี่เองก็มีขนาด 40kWh และเป็นแบบลิเธียม-ไอออน ซึ่งมีขนาดเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม ที่มีเพียงแค่ 30 kWh
ส่วนการชาร์จ ถ้าเป็นการชาร์จปกติผ่านทางไฟขนาด 3kW จะใช้เวลาราว 16 ชั่วโมง แต่จะลดลงเหลือ 8 ชั่วโมงสำหรับการชาร์จผ่านไฟ 6kw และมีโหมด Quick Charge ซึ่งใช้เวลาเพียง 40 นาทีในการชาร์จไฟฟ้าจนมีตัวเลขอยู่ในระดับ 80% ของความจุแบตเตอรี่ทั้งหมด ส่วนในด้านสมรรถนะการขับขี่ ตัวรถสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 144 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากมอเตอร์ไฟฟ้ารหัส EM57 ซึ่งมีกำลัง 150 แรงม้า ที่ 3,283-9,795 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 32.6 กก.-ม. ที่ 0-3,283 รอบ/นาที
นอกจากสมรรถนะที่ดีขึ้นแล้ว LEAF ใหม่ยังได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไป เช่น ProPILOT ซึ่งระบบสามารถช่วยควบคุมและรักษาระยะห่างจากรถยนต์คันหน้า ในช่วงความเร็ว 30-100 กิโลเมตร ทำให้สามารถลดภาระในระหว่างการขับบนเส้นทางตรงและระยะทางไกล และจะมีการหมุนพวงมาลัยเพื่อให้รถยนต์อยู่ตรงกลางของช่องทาง ส่วนอีกอันคือระบบ e-Paddle ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเซ็ตการทำงานของแป้นคันเร่งให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องการเร่งหรือลดความเร็ว
ส่วนเทคโนโลยีที่เหลือก็มีทั้ง Lane Intervention, Lane Departure Warning, Intelligent Emergency Braking, Blind Spot Warning, Traffic Sign Recognition, Rear Cross Traffic Alert และ Intelligent Around View Monitor ซึ่งเราๆ ท่านๆ คุ้นเคยกันอยู่แลบ้ว เพราะเป็นมาตรฐานในรถยนต์ที่ขายอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับราคาของ LEAF ในสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะอยู่ที่ 29,990 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 989,000 บาท และจะเริ่มทำตลาดทั่วโลกในปลายปีนี้ ซึ่งก็รวมถึงเมืองไทยที่แว่วข่าวว่าจะมีเข้ามาทำตลาดด้วย เพียงแต่จะรอกันนานถึงปลายปีหน้าหรือไม่ ต้องรอฟังคำตอบ