กระแสของรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านเรา นาทีนี้ถูกจับตามองจากบรรดาค่ายรถยนต์ที่มีโปรดักซ์ในมือพร้อมทำตลาดชนิดที่เรียกว่า ไม่คลาดสายตา ขอเพียงแค่รัฐบาลไฟเขียว เคาะอัตราโครงสร้างภาพภาษีสนับสนุนให้ รถยนต์ไฟฟ้า แจ้งเกิดได้ เท่านั้นเอง ทุกอย่างจะดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วเกินความคาดหมาย
อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้า ก็เหมือน ไก่กับไข่ ที่ไม่รู้อะไรจะเกิดก่อนกัน เพราะ ถ้าไม่มีความต้องการซื้อ ใครจะเอาโปรดักซ์เข้ามาขาย และ ถ้าไม่รถให้ซื้อ จะเอาความต้องการซื้อมาจากไหน ...แน่นอนทุกสมรภูมิย่อมมีผู้กล้า สำหรับเมืองไทย “เมอร์เซเดส - เบนซ์” คือแม่ทัพผู้ถือธงนำทาง ด้วยการเปิดตัว E350e รถยนต์ไฟฟ้า แบบปลั้กอินรุ่นที่ 4 ทำให้ค่ายแห่งดวงดาวมีรถยนต์ไฟฟ้า ในไลน์การขายแล้วถึง 12 รุ่นย่อยด้วยกัน
E350e พระเอกใหม่ ครบคุ้ม
อี-คลาส โฉม W213 แบบปลั๊กอิน ไฮบริดนี้ เป็นรุ่นประกอบในประเทศมากับ 3 ทางเลือกย่อย ได้แก่ อาวังการ์ด, เอ็กซ์คลูซีฟ และ เอเอ็มจี ไดนามิค ความแตกต่างระหว่างรุ่นแบบหลักๆ คือ อาวังการ์ดจะเป็นรุ่นจอปกติ ส่วนอีก 2 รุ่นบนจะเป็นจอแบบwidescreen cockpit และในรุ่นเอเอ็มจีจะมีระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกหน้า(HUD)
สิ่งที่ประทับใจเราที่สุดในบรรดาอุปกรณ์ภายในต่างๆ ที่ใส่มาให้อย่างมากมาย ปุ่มควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆ บนพวงมาลัย เป็นระบบสัมผัส ที่ไม่จำเป็นต้องหมุนอีกต่อไป แค่เลื่อนนิ้วไป เซนเซอร์จะทำงานทันที ดูไฮเทคและสะดวกในการใช้งาน
การย้ายเกียร์ไปไว้ที่คอพวงมาลัยช่วยเพิ่มพื้นที่บริเวณคอนโซลกลางให้สามารถจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ได้ลงตัวยิ่งขึ้น ปุ่มการทำงานที่คอนโซลกลาง ใช้งานง่าย แต่อาจจะต้องทำความคุ้นเคยสักพัก ด้านระบบความปลอดภัยอัดแน่นตามสไตล์ของค่ายดาวสามแฉก เช่นถุงลมนิรภัยมากกว่า 10 จุด
ระบบไฟหน้า มีไฟ day time ติดตลอดเวลาช่วยเพิ่มความปลอดภัยตามมาตรฐานของรถยนต์ในยุคนี้ ส่วนรุ่นเอ็กซ์คลูซีฟและเอเอ็มจี จะมีระบบส่องสว่างอัจฉริยะ และระบบไฟหน้าหมุนปรับตามการเลี้ยวของพวงมาลัยพร้อมเพิ่มความสว่างเข้ามาเพิ่มเติม โดยเป็นไฟหน้าแบบ Multibeam LED ขณะที่รุ่น อาวังการ์ด จะเป็นแบบ LED High Performance
ขับสนุก ประหยัด ทรงตัวดี
การทดลองขับเราจับฉลากได้รุ่น E350e อาวังการ์ด ไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบกุญแจ กดปุ่มติดเครื่อง...ไร้เสียงเครื่องยนต์ตอบรับ ไม่ต้องแปลกใจเพราะนี่คือรถยนต์ปลั้กอินไฮบริด ที่จะมีเพียงตัวหนังสือหน้าจอ ขึ้นคำว่า Ready แค่นั้นและนั่นหมายความว่า รถยนต์ของเราพร้อมแล้วสำหรับการเดินทาง ขอเพียงคุณเหยียบเท้าเข้าเกียร์มันก็พร้อมจะนำพาคุณไปทุกที่ตามต้องการ
ความรู้สึกแรก หลังเหยียบคันเร่งออกตัว พวงมาลัยน้ำหนักเบามือดี คันเร่งก็เบา ออกตัวไปนิ่มๆ แบบผู้ดีๆ เกียร์ย้ายมายังคอพวงมาลัย หลายๆคนที่คุ้นเคยกับรถญี่ปุ่น อาจจะสับสนได้ แต่ถ้าใช้เบนซ์รุ่นใหม่ๆ จนชินแล้วก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร อย่างที่บอกไปทำความคุ้นเคยสักพักก็จะขับสบาย
เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูดสุด 211 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร เมื่อผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด 88 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร จะได้กำลังสูงสุดถึง 286 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ชุดใหม่ล่าสุด 9GTronic Plus ที่ขึ้นชื่อด้านความประหยัด
ในด้านการขับขี่ เราจำเป็นต้องอธิบายถึง โหมดการขับก่อนเป็นลำดับแรก อี-คลาสจะมีอยู่ 5 โหมดหลักคือ Eco, Comfort, Sport, Sport+ และ Individual ขณะที่ โหมดการขับขี่ย่อยเฉพาะไฮบริด จะมีให้เลือก 4 แบบ hybrid, e-mode, e-save และ charge ซึ่งจะทำงานแบบสอดรับกันระหว่างโหมดหลักและโหมดย่อย
เราเลือกโหมด Sport ในการขับเป็นหลัก ช่วงล่างเกาะถนนดีมาก คงความรู้สึกในสไตล์การขับขี่รถแห่งค่ายดาวสามแฉกไว้อย่างไม่เสื่อมคลาย ขับสนุก การเร่งแซงตอบสนองทันใจดีมาก และเมื่อเปลี่ยนมาลองใช้โหมดEco การเร่งจะขึ้นช้ากว่าโหมดsport แต่นั่นคือเพื่อความประหยัด การเปลี่ยนเกียร์ราบรื่นแบบผู้ดีๆ กล่าวโดยภาพรวมของการปรับโหมดต่างๆ จะให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่แตกต่างไปอย่างชัดเจน ต้องขอบคุณระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่สร้างความแตกต่างให้
อัตราการบริโภคน้ำมันคือสิ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้ ผลจากการทดลองขับ ด้วยระยะทางประมาณ 100 กม. ในเวลา 1 ชั่วโมง อี-คลาส 3 ในทริปทดสอบครั้งนี้สามารถทำตัวเลขออกมาได้ที่ระดับ 17-18 กม./ลิตร เลยทีเดียว พร้อมกับการวิ่งโดยใช้แต่พลังงานจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวได้ระยะทาง 30-40 กว่ากม. ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว
เหมาะกับใคร
E350e แอร์เย็น เพลงดัง นั่งหลังหลับสบาย ได้ลูกเล่นเพียบ คือนิยามแบบง่ายๆ ของเจ้าอี-คลาสโฉมนี้ ไม่ว่าคุณจะขับเองหรือมีคนอื่นขับให้ก็น่าจะได้รับความสุนทรีย์ในการเดินทางได้ครบครันตามความต้องการ ในราคา 3.49,3.79 และ 4.09 ล้านบาท ทางเลือกนี้ ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการของคนที่กำลังมองหา รถแห่งดวงดาวไว้ใช้งานสักคัน
อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้า ก็เหมือน ไก่กับไข่ ที่ไม่รู้อะไรจะเกิดก่อนกัน เพราะ ถ้าไม่มีความต้องการซื้อ ใครจะเอาโปรดักซ์เข้ามาขาย และ ถ้าไม่รถให้ซื้อ จะเอาความต้องการซื้อมาจากไหน ...แน่นอนทุกสมรภูมิย่อมมีผู้กล้า สำหรับเมืองไทย “เมอร์เซเดส - เบนซ์” คือแม่ทัพผู้ถือธงนำทาง ด้วยการเปิดตัว E350e รถยนต์ไฟฟ้า แบบปลั้กอินรุ่นที่ 4 ทำให้ค่ายแห่งดวงดาวมีรถยนต์ไฟฟ้า ในไลน์การขายแล้วถึง 12 รุ่นย่อยด้วยกัน
E350e พระเอกใหม่ ครบคุ้ม
อี-คลาส โฉม W213 แบบปลั๊กอิน ไฮบริดนี้ เป็นรุ่นประกอบในประเทศมากับ 3 ทางเลือกย่อย ได้แก่ อาวังการ์ด, เอ็กซ์คลูซีฟ และ เอเอ็มจี ไดนามิค ความแตกต่างระหว่างรุ่นแบบหลักๆ คือ อาวังการ์ดจะเป็นรุ่นจอปกติ ส่วนอีก 2 รุ่นบนจะเป็นจอแบบwidescreen cockpit และในรุ่นเอเอ็มจีจะมีระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกหน้า(HUD)
สิ่งที่ประทับใจเราที่สุดในบรรดาอุปกรณ์ภายในต่างๆ ที่ใส่มาให้อย่างมากมาย ปุ่มควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆ บนพวงมาลัย เป็นระบบสัมผัส ที่ไม่จำเป็นต้องหมุนอีกต่อไป แค่เลื่อนนิ้วไป เซนเซอร์จะทำงานทันที ดูไฮเทคและสะดวกในการใช้งาน
การย้ายเกียร์ไปไว้ที่คอพวงมาลัยช่วยเพิ่มพื้นที่บริเวณคอนโซลกลางให้สามารถจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ได้ลงตัวยิ่งขึ้น ปุ่มการทำงานที่คอนโซลกลาง ใช้งานง่าย แต่อาจจะต้องทำความคุ้นเคยสักพัก ด้านระบบความปลอดภัยอัดแน่นตามสไตล์ของค่ายดาวสามแฉก เช่นถุงลมนิรภัยมากกว่า 10 จุด
ระบบไฟหน้า มีไฟ day time ติดตลอดเวลาช่วยเพิ่มความปลอดภัยตามมาตรฐานของรถยนต์ในยุคนี้ ส่วนรุ่นเอ็กซ์คลูซีฟและเอเอ็มจี จะมีระบบส่องสว่างอัจฉริยะ และระบบไฟหน้าหมุนปรับตามการเลี้ยวของพวงมาลัยพร้อมเพิ่มความสว่างเข้ามาเพิ่มเติม โดยเป็นไฟหน้าแบบ Multibeam LED ขณะที่รุ่น อาวังการ์ด จะเป็นแบบ LED High Performance
ขับสนุก ประหยัด ทรงตัวดี
การทดลองขับเราจับฉลากได้รุ่น E350e อาวังการ์ด ไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบกุญแจ กดปุ่มติดเครื่อง...ไร้เสียงเครื่องยนต์ตอบรับ ไม่ต้องแปลกใจเพราะนี่คือรถยนต์ปลั้กอินไฮบริด ที่จะมีเพียงตัวหนังสือหน้าจอ ขึ้นคำว่า Ready แค่นั้นและนั่นหมายความว่า รถยนต์ของเราพร้อมแล้วสำหรับการเดินทาง ขอเพียงคุณเหยียบเท้าเข้าเกียร์มันก็พร้อมจะนำพาคุณไปทุกที่ตามต้องการ
ความรู้สึกแรก หลังเหยียบคันเร่งออกตัว พวงมาลัยน้ำหนักเบามือดี คันเร่งก็เบา ออกตัวไปนิ่มๆ แบบผู้ดีๆ เกียร์ย้ายมายังคอพวงมาลัย หลายๆคนที่คุ้นเคยกับรถญี่ปุ่น อาจจะสับสนได้ แต่ถ้าใช้เบนซ์รุ่นใหม่ๆ จนชินแล้วก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร อย่างที่บอกไปทำความคุ้นเคยสักพักก็จะขับสบาย
เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูดสุด 211 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร เมื่อผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด 88 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร จะได้กำลังสูงสุดถึง 286 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ชุดใหม่ล่าสุด 9GTronic Plus ที่ขึ้นชื่อด้านความประหยัด
ในด้านการขับขี่ เราจำเป็นต้องอธิบายถึง โหมดการขับก่อนเป็นลำดับแรก อี-คลาสจะมีอยู่ 5 โหมดหลักคือ Eco, Comfort, Sport, Sport+ และ Individual ขณะที่ โหมดการขับขี่ย่อยเฉพาะไฮบริด จะมีให้เลือก 4 แบบ hybrid, e-mode, e-save และ charge ซึ่งจะทำงานแบบสอดรับกันระหว่างโหมดหลักและโหมดย่อย
เราเลือกโหมด Sport ในการขับเป็นหลัก ช่วงล่างเกาะถนนดีมาก คงความรู้สึกในสไตล์การขับขี่รถแห่งค่ายดาวสามแฉกไว้อย่างไม่เสื่อมคลาย ขับสนุก การเร่งแซงตอบสนองทันใจดีมาก และเมื่อเปลี่ยนมาลองใช้โหมดEco การเร่งจะขึ้นช้ากว่าโหมดsport แต่นั่นคือเพื่อความประหยัด การเปลี่ยนเกียร์ราบรื่นแบบผู้ดีๆ กล่าวโดยภาพรวมของการปรับโหมดต่างๆ จะให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่แตกต่างไปอย่างชัดเจน ต้องขอบคุณระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่สร้างความแตกต่างให้
อัตราการบริโภคน้ำมันคือสิ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้ ผลจากการทดลองขับ ด้วยระยะทางประมาณ 100 กม. ในเวลา 1 ชั่วโมง อี-คลาส 3 ในทริปทดสอบครั้งนี้สามารถทำตัวเลขออกมาได้ที่ระดับ 17-18 กม./ลิตร เลยทีเดียว พร้อมกับการวิ่งโดยใช้แต่พลังงานจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวได้ระยะทาง 30-40 กว่ากม. ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว
เหมาะกับใคร
E350e แอร์เย็น เพลงดัง นั่งหลังหลับสบาย ได้ลูกเล่นเพียบ คือนิยามแบบง่ายๆ ของเจ้าอี-คลาสโฉมนี้ ไม่ว่าคุณจะขับเองหรือมีคนอื่นขับให้ก็น่าจะได้รับความสุนทรีย์ในการเดินทางได้ครบครันตามความต้องการ ในราคา 3.49,3.79 และ 4.09 ล้านบาท ทางเลือกนี้ ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการของคนที่กำลังมองหา รถแห่งดวงดาวไว้ใช้งานสักคัน
