น้อยครั้งครับที่ค่ายรถยนต์ระดับหรูจะกล้าจัดอีเวนต์ให้ลองขับรถยนต์ของตัวเองในรูปแบบออฟโรด เพราะทั้งลุยหนัก ลุงทุนเหนื่อย บนความเสี่ยงมากมาย และอย่างที่เรารู้ๆกันว่าคนที่ซื้อรถยนต์ระดับนี้คงไม่เอาไปซัดให้แปดเปื้อน กระเทือนให้เสียของ
...แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างว่ารถยนต์รุ่นนั้นๆไม่สามารถลุยได้ ยิ่งบนฝากระโปรงหน้าแปะตราดาวสามแฉกจากประเทศเยอรมนี
“เมอร์เซเดส-เบนซ์” จัดงาน Driving Experience 2016 หรือเปิดอบรมการขับขี่รถยนต์หลักสูตรพิเศษที่ควบคุมโดยผู้ฝึกสอนมืออาชีพ ซึ่งหลายๆปีที่ผ่านมามักอยู่ในรูปแบบสนามทางเรียบกับรถยนต์ซาลูน แฮทช์แบ็ก และรถสปอร์ตสมรรถนะสูง แต่ล่าสุดเป็นครั้งแรกที่เจ้าพ่อรถหรูนำเอสยูวีที่ทำตลาดในเมืองไทยครบทุกโมเดลมาให้ลองขับตะลุยทางฝุ่นแบบถึงใจ ไล่ตั้งแต่ตัวท็อป GLS GLE GLC และGLA(อ้าวน้องเล็กมากับเขาด้วย...จะลุยไหวรึ?)
งานนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์จัดลากยาว 14 วัน เริ่มตั้งแต่ 5-18 ตุลาคม 2559 โดยเปิดโอกาสให้นักข่าว 2 รอบ ลูกค้าเดิม 3 รอบ อีก 3 รอบเป็นสิทธิ์ของดีลเลอร์(จะเป็นพนักงาน หรือจะเชิญลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและลูกค้าคนสำคัญของตัวเองก็ได้) ส่วนที่เหลือ 6 รอบเป็นลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ล็อตใหญ่และแขกวีไอพีของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย
...เรียกว่าลงทุนไปหลายล้านบาทสำหรับโปรเจกต์นี้ เพราะต้องเนรมิตสนามออฟโรด(ชั่วคราว)ขึ้นมาใหม่ โดยไปยืมที่แถวๆสนามกอล์ฟบันยัน หัวหิน พร้อมนำเข้าผู้ฝึกสอนจากต่างประเทศรวมกับยอดฝีมือของไทยคอยควบคุมหลักสูตรอย่างเข้มข้นใกล้ชิด
เริ่มจากสถานีแรกก็ดูอลังการงานสร้างแล้วครับ เพราะทีมงานเล่นใช้โครงสร้างเหล็กมาจำลองสถานการณ์ ทั้ง เนินสลับ เนินสูง 3 เมตร และผ่านร่องน้ำลึกประมาณ 60 เซนติเมตร
ขณะที่ไฮไลต์อยู่ตรงการขับเข้าไปให้โรลเลอร์(บนโครงเหล็ก)ดักล้อหน้าขวาและหลังซ้าย เพื่อทดสอบว่าเมื่อล้อข้างใดข้างหนึ่งหมุนฟรี ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ 4MATIC จะส่งกำลังที่เหลือไปสู่ล้อที่ติดกับพื้นพร้อมหมุนผลักดันให้รถผ่านอุปสรรคไปได้
เช่นเดียวกับด่านเนินสลับ เมื่อล้อข้างใดข้างหนึ่งแขวนลอยแล้ว ล้อที่ติดอยู่กับพื้นก็สามารถนำพารถต่อไปได้ด้วยความสามารถของระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ บวกกับความแข็งแกร่งของโครงสร้างตัวถังที่ไว้ใจได้
อย่างไรก็ตาม สถานีนี้ยังมีความท้าทายเมื่อน้องเล็กอย่าง “จีแอจเอ” รุ่น 250 AMG Dynamic ซึ่งเป็นรถแบบขับเคลื่อนสองล้อหน้า แถมกราวด์เคลียร์แลนซ์เตี้ยๆต่างจากรุ่นพี่คันอื่นๆ ต้องถูกขืนใจให้มาร่วมกิจกรรมนี้ด้วย
แต่สุดท้ายต้องปรบมือให้รัวๆ เมื่อเอสยูวีที่เรียกกันตามสมัยนิยมว่า “ครอสโอเวอร์” (เกิดมาใช้งานทางเรียบไม่เน้นลุยหนัก) พร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 211 แรงม้า ราคาไม่ถึงสองล้านห้า สามารถขับผ่านทุกอุปสรรคไปได้แบบไม่มีบ่นสักคำ
จากนั้นผมและเพื่อนผู้สื่อข่าวขยับมาถึงสถานีที่สอง ก็คล้ายๆกับสถานีแรกครับ แต่ด่านนี้จะเป็นอุปสรรคที่สร้างขึ้นจากทรัพยากรธรรมชาติ ทั้ง ท่อนไม้ขวาง เนินดินเตี้ย เนินสูง และเนินเอียง โดยรถยนต์ที่ใช้เป็นเอสยูวีรุ่นท็อป ทั้ง “จีแอลเอส” (GLS 350d) รวมถึง “จีแอลอี คูเป้” (GLE 350d 4MATIC Coupe) “จีแอลอี ปลั๊กอิน-ไฮบริด” (GLE 500e 4MATIC) และ “จีแอลซี” (GLC 250d 4MATIC)
แน่นอนว่าทุกคันไม่มีปัญหากับการขับผ่านอุปสรรคจำลอง แต่หลังการขับครบทุกรุ่น ผมชอบสัมผัสของรุ่น“จีแอลซี” มากที่สุด ด้วยเพราะรถขนาดกำลังดี ไม่ใหญ่โตเทอะทะเหมือนรุ่นอื่นๆ การควบคุมและอาการที่สะท้อนกลับมาสู่รถและตัวคนขับยังเป็นธรรมชาติและขับสนุกกว่าเยอะ (แถมคันอื่นๆเป็นช่วงล่างแบบถุงลม AIRMATIC เสียด้วย)
สำหรับ GLC 250d 4MATIC เพิ่งส่งรุ่นประกอบในประเทศลุยตลาดในราคาที่น่าสนใจมาก คือตัวเริ่มต้น OFF-ROAD ราคา 3.24 ล้านบาท และตัว AMG Dynamic ราคา 3.69 ล้านบาท วางเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.1 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 -1,800 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด
…ดูตัวเลขประสิทธิผลและจากการได้ลองขับจริง ต้องบอกว่าแค่นี้เหลือเฟือแล้วครับ
ปิดท้ายด้วยสถานีที่สาม ทีมงานยังให้ใช้ GLC 250d 4MATIC เป็นหลัก แต่คราวนี้เท่หน่อยที่ต้องขับออกไปนอกสนามจำลอง เพื่อไปสู่บึงใหญ่ที่เจ้าของสนามกอล์ฟเขาขุดไว้เก็บน้ำ ทว่าช่วงนี้น้ำน้อยขบวนออฟโรดของเมอร์เซเดส-เบนซ์จึงขับลงไปในบึงได้สบาย
จริงๆแล้วสถานีนี้ไม่ได้ระทึกใจอะไรมาก เพียงแต่มีทัศนียภาพสวยงาม อลังการ ถ่ายรูปสวย และประหนึ่งจะให้ผู้ขับจินตนการถึงเส้นทางออฟโรดอันสมบุกสมบันตามธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นไฮไลต์หนึ่งของ Driving Experience 2016 ปีนี้
ในส่วนเทคนิคการขับออฟโรดไม่มีอะไรมากครับ ลองปรับเบาะนั่งสูงขึ้นเพื่อให้มองเห็นทางข้างหน้าได้อย่างชัดเจน พร้อมเล็งเส้นทางผ่านอุปสรรค ตัดสินใจจะเอาร่องไหน หรือปีนหินก้อนใด ถ้าจำเป็นต้องลุยน้ำก็เดินคันเร่งให้นุ่มนวล รักษาความเร็วสม่ำเสมอ ส่วนที่เหลือปล่อยให้ความอัจฉริยะของรถยนต์และสุดยอดระบบขับเคลื่อนนำพาเราไปครับ
...หลังจากปรับชื่อรถยนต์ในกลุ่มเอสยูวีให้มีความชัดเจน สื่อสารการตลาดง่ายขึ้น ขณะที่ยอดขายรถยนต์เอสยูวีของเมอเซเดส-เบนซ์ ก็เติบโตขึ้นสามเท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ไม่น่าแปลกที่กิจกรรมอลังการงานสร้างบนทางฝุ่นแบบนี้จะเกิดขึ้น ทั้งคนที่ซื้อไปแล้วก็จะรู้ว่ารถยนต์ของตัวเองทำอะไรได้มากกว่าที่คิด(เพราะจ่ายไปหลายล้านบาท) ส่วนคนที่ยังไม่ได้ซื้อน่าจะประทับใจกับตัวรถพร้อมสมรรถนะเกินจินตนาการจนอยากควักเงินซื้อเสียเดี๋ยวนั้น
...แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างว่ารถยนต์รุ่นนั้นๆไม่สามารถลุยได้ ยิ่งบนฝากระโปรงหน้าแปะตราดาวสามแฉกจากประเทศเยอรมนี
“เมอร์เซเดส-เบนซ์” จัดงาน Driving Experience 2016 หรือเปิดอบรมการขับขี่รถยนต์หลักสูตรพิเศษที่ควบคุมโดยผู้ฝึกสอนมืออาชีพ ซึ่งหลายๆปีที่ผ่านมามักอยู่ในรูปแบบสนามทางเรียบกับรถยนต์ซาลูน แฮทช์แบ็ก และรถสปอร์ตสมรรถนะสูง แต่ล่าสุดเป็นครั้งแรกที่เจ้าพ่อรถหรูนำเอสยูวีที่ทำตลาดในเมืองไทยครบทุกโมเดลมาให้ลองขับตะลุยทางฝุ่นแบบถึงใจ ไล่ตั้งแต่ตัวท็อป GLS GLE GLC และGLA(อ้าวน้องเล็กมากับเขาด้วย...จะลุยไหวรึ?)
งานนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์จัดลากยาว 14 วัน เริ่มตั้งแต่ 5-18 ตุลาคม 2559 โดยเปิดโอกาสให้นักข่าว 2 รอบ ลูกค้าเดิม 3 รอบ อีก 3 รอบเป็นสิทธิ์ของดีลเลอร์(จะเป็นพนักงาน หรือจะเชิญลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและลูกค้าคนสำคัญของตัวเองก็ได้) ส่วนที่เหลือ 6 รอบเป็นลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ล็อตใหญ่และแขกวีไอพีของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย
...เรียกว่าลงทุนไปหลายล้านบาทสำหรับโปรเจกต์นี้ เพราะต้องเนรมิตสนามออฟโรด(ชั่วคราว)ขึ้นมาใหม่ โดยไปยืมที่แถวๆสนามกอล์ฟบันยัน หัวหิน พร้อมนำเข้าผู้ฝึกสอนจากต่างประเทศรวมกับยอดฝีมือของไทยคอยควบคุมหลักสูตรอย่างเข้มข้นใกล้ชิด
เริ่มจากสถานีแรกก็ดูอลังการงานสร้างแล้วครับ เพราะทีมงานเล่นใช้โครงสร้างเหล็กมาจำลองสถานการณ์ ทั้ง เนินสลับ เนินสูง 3 เมตร และผ่านร่องน้ำลึกประมาณ 60 เซนติเมตร
ขณะที่ไฮไลต์อยู่ตรงการขับเข้าไปให้โรลเลอร์(บนโครงเหล็ก)ดักล้อหน้าขวาและหลังซ้าย เพื่อทดสอบว่าเมื่อล้อข้างใดข้างหนึ่งหมุนฟรี ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ 4MATIC จะส่งกำลังที่เหลือไปสู่ล้อที่ติดกับพื้นพร้อมหมุนผลักดันให้รถผ่านอุปสรรคไปได้
เช่นเดียวกับด่านเนินสลับ เมื่อล้อข้างใดข้างหนึ่งแขวนลอยแล้ว ล้อที่ติดอยู่กับพื้นก็สามารถนำพารถต่อไปได้ด้วยความสามารถของระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ บวกกับความแข็งแกร่งของโครงสร้างตัวถังที่ไว้ใจได้
อย่างไรก็ตาม สถานีนี้ยังมีความท้าทายเมื่อน้องเล็กอย่าง “จีแอจเอ” รุ่น 250 AMG Dynamic ซึ่งเป็นรถแบบขับเคลื่อนสองล้อหน้า แถมกราวด์เคลียร์แลนซ์เตี้ยๆต่างจากรุ่นพี่คันอื่นๆ ต้องถูกขืนใจให้มาร่วมกิจกรรมนี้ด้วย
แต่สุดท้ายต้องปรบมือให้รัวๆ เมื่อเอสยูวีที่เรียกกันตามสมัยนิยมว่า “ครอสโอเวอร์” (เกิดมาใช้งานทางเรียบไม่เน้นลุยหนัก) พร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 211 แรงม้า ราคาไม่ถึงสองล้านห้า สามารถขับผ่านทุกอุปสรรคไปได้แบบไม่มีบ่นสักคำ
จากนั้นผมและเพื่อนผู้สื่อข่าวขยับมาถึงสถานีที่สอง ก็คล้ายๆกับสถานีแรกครับ แต่ด่านนี้จะเป็นอุปสรรคที่สร้างขึ้นจากทรัพยากรธรรมชาติ ทั้ง ท่อนไม้ขวาง เนินดินเตี้ย เนินสูง และเนินเอียง โดยรถยนต์ที่ใช้เป็นเอสยูวีรุ่นท็อป ทั้ง “จีแอลเอส” (GLS 350d) รวมถึง “จีแอลอี คูเป้” (GLE 350d 4MATIC Coupe) “จีแอลอี ปลั๊กอิน-ไฮบริด” (GLE 500e 4MATIC) และ “จีแอลซี” (GLC 250d 4MATIC)
แน่นอนว่าทุกคันไม่มีปัญหากับการขับผ่านอุปสรรคจำลอง แต่หลังการขับครบทุกรุ่น ผมชอบสัมผัสของรุ่น“จีแอลซี” มากที่สุด ด้วยเพราะรถขนาดกำลังดี ไม่ใหญ่โตเทอะทะเหมือนรุ่นอื่นๆ การควบคุมและอาการที่สะท้อนกลับมาสู่รถและตัวคนขับยังเป็นธรรมชาติและขับสนุกกว่าเยอะ (แถมคันอื่นๆเป็นช่วงล่างแบบถุงลม AIRMATIC เสียด้วย)
สำหรับ GLC 250d 4MATIC เพิ่งส่งรุ่นประกอบในประเทศลุยตลาดในราคาที่น่าสนใจมาก คือตัวเริ่มต้น OFF-ROAD ราคา 3.24 ล้านบาท และตัว AMG Dynamic ราคา 3.69 ล้านบาท วางเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.1 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 -1,800 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด
…ดูตัวเลขประสิทธิผลและจากการได้ลองขับจริง ต้องบอกว่าแค่นี้เหลือเฟือแล้วครับ
ปิดท้ายด้วยสถานีที่สาม ทีมงานยังให้ใช้ GLC 250d 4MATIC เป็นหลัก แต่คราวนี้เท่หน่อยที่ต้องขับออกไปนอกสนามจำลอง เพื่อไปสู่บึงใหญ่ที่เจ้าของสนามกอล์ฟเขาขุดไว้เก็บน้ำ ทว่าช่วงนี้น้ำน้อยขบวนออฟโรดของเมอร์เซเดส-เบนซ์จึงขับลงไปในบึงได้สบาย
จริงๆแล้วสถานีนี้ไม่ได้ระทึกใจอะไรมาก เพียงแต่มีทัศนียภาพสวยงาม อลังการ ถ่ายรูปสวย และประหนึ่งจะให้ผู้ขับจินตนการถึงเส้นทางออฟโรดอันสมบุกสมบันตามธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นไฮไลต์หนึ่งของ Driving Experience 2016 ปีนี้
ในส่วนเทคนิคการขับออฟโรดไม่มีอะไรมากครับ ลองปรับเบาะนั่งสูงขึ้นเพื่อให้มองเห็นทางข้างหน้าได้อย่างชัดเจน พร้อมเล็งเส้นทางผ่านอุปสรรค ตัดสินใจจะเอาร่องไหน หรือปีนหินก้อนใด ถ้าจำเป็นต้องลุยน้ำก็เดินคันเร่งให้นุ่มนวล รักษาความเร็วสม่ำเสมอ ส่วนที่เหลือปล่อยให้ความอัจฉริยะของรถยนต์และสุดยอดระบบขับเคลื่อนนำพาเราไปครับ
...หลังจากปรับชื่อรถยนต์ในกลุ่มเอสยูวีให้มีความชัดเจน สื่อสารการตลาดง่ายขึ้น ขณะที่ยอดขายรถยนต์เอสยูวีของเมอเซเดส-เบนซ์ ก็เติบโตขึ้นสามเท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ไม่น่าแปลกที่กิจกรรมอลังการงานสร้างบนทางฝุ่นแบบนี้จะเกิดขึ้น ทั้งคนที่ซื้อไปแล้วก็จะรู้ว่ารถยนต์ของตัวเองทำอะไรได้มากกว่าที่คิด(เพราะจ่ายไปหลายล้านบาท) ส่วนคนที่ยังไม่ได้ซื้อน่าจะประทับใจกับตัวรถพร้อมสมรรถนะเกินจินตนาการจนอยากควักเงินซื้อเสียเดี๋ยวนั้น