xs
xsm
sm
md
lg

เบนซ์-BMWทำหมันเครื่อง“เบนซิน” ลุยไฮบริด-ดีเซล 320dกดราคา2.3ล้านบาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

สองค่ายรถยนต์หรูจากเยอรมนี “เมอร์เซเดส-เบนซ์” และ “บีเอ็มดับเบิลยู” ทยอยปรับกระบวนทัพ ขยับไลน์อัพรถยนต์ในการทำตลาด หลังการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ของรัฐบาล เหตุเครื่องยนต์เบนซินขนาดต่ำกว่า 2.0 ลิตร ปล่อยไอเสียไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร แม้รองรับแก๊สโซฮอล์E20 ยังโดนภาษีเพิ่ม 5% ขณะที่เครื่องยนต์ดีเซลแทบไม่ได้รับผลกระทบ รวมถึงรถยนต์ไฮบริด(ปลั๊ก-อิน) ที่ปล่อยไอเสียต่ำทำราคาได้น่าสนใจกว่า

ถือเป็นเรื่องไม่เกินความคาดหมาย หลังจากรัฐบาลปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ให้เก็บตามการปล่อยไอเสีย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 ว่าต้องมีรถยนต์หลายรุ่นโดนถอดออกไปจากการทำตลาด เนื่องจากไม่ได้รับแต้มต่อเหมือนเดิม โดยเฉพาะรถเครื่องยนต์เบนซินที่เคยได้ภาษีสรรพสามิตอัตราพิเศษเมื่อรองรับน้ำมันแก็สโซฮอล์ E20 และ E85
E220d
ผิดกับรถเครื่องยนต์ดีเซลที่เดิมแทบไม่ได้สิทธิพิเศษใดๆ (นอกจากคุณจะเป็นปิกอัพหรือพีพีวี) แต่สถาณการณ์มากลับตาลปัดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยสองค่ายรถยนต์อย่าง “เมอร์เซเดส-เบนซ์” และ “บีเอ็มดับเบิลยู” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด

เริ่มจาก “เมอร์เซเดส-เบนซ์” กับ “อี-คลาส โฉมใหม่” (W213) ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีขายเพียงรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร E220d ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท (รุ่นนำเข้าทั้งคัน) ส่วนทางเลือกเครื่องยนต์เบนซินรุ่น E200 ราคา 3.39 ล้านบาทนั้นเป็นโฉมเก่ารุ่นประกอบในประเทศ ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เลิกทำไปแล้ว แต่ยังมีรถค้างสต็อกที่ดีลเลอร์อยู่จำนวนหนึ่ง

เช่นเดียวกับรุ่น Bluetec Hybrid เทคโนโลยีเก่าใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.1 ลิตรผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าก็รอวันปลดเกษียน เนื่องจากในปัจจุบัน เทคโนโลยีไฮบริดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ยกระดับไปเป็นปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่เริ่มใช้กับ “ซี-คลาส” และ “เอส-คลาส” แล้ว

ในส่วน “ซี-คลาส” (W205) ตัวถังซีดาน(ซาลูน)ไม่ทำตลาดรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน C250 และ C180 มานานพอสมควรแล้ว ยิ่งมีรุ่นปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่ได้ภาษีสรรพสามิตที่สอดคล้องกับการขายมากกว่า (ก่อนหน้านั้นก็ขายตัว Bluetec Hybrid) ทั้งตัวถังซีดานและเอสเตทในรหัส 350e ราคาเริ่มต้น 2.64 ล้านบาท ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับรถยนต์รุ่นธง “เอส-คลาส” ตัวถังซีดานที่ทำตลาดเฉพาะรุ่นปลั๊ก-อินไฮบริด
C350e
CLS250d
ทว่าที่โดนใจไปเต็มๆเห็นจะเป็น CLS 250d เครื่องยนต์ดีเซล 2.1 ลิตร เพราะเดิมเสียภาษีสรรพสามิตอัตรา 35% เพราะขนาดเครื่องยนต์เกิน 2.0 ลิตร แต่สำหรับโครงสร้างภาษีใหม่ เพิ่มช่องว่างของขนาดเครื่องยนต์ในการเสียภาษีขั้นแรกเป็นไม่เกิน 3.0 ลิตร ดังนั้น CLS 250d ขนาดเครื่องยนต์เกิน 2.0 ลิตรจึงไม่มีผล ทว่าการปล่อยไอเสียต่ำกว่า 150 กรัมต่อกิโลเมตร จึงเสียภาษีในพิกัดใหม่เพียง 30%

...นั่นจึงเป็นเหตุให้ราคาของ CLS 250d ลดลงมาถึง 3-4 แสนบาท ทั้งตัวถัง 4 ประตูสไตล์คูเป้ และแวกอน“ชูตติงเบรก”

อย่างไรก็ตาม แม้รถยนต์รุ่นหลักๆหรือกลุ่มพี่ใหญ่จะหันหน้าไปทางเครื่องยนต์ดีเซล และไฮบริด แต่กลุ่มน้องเล็ก NGCC (New Generation Compact Car) ยังคงวางเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.6 ลิตร และ 2.0 ลิตร แต่ก็เหลือขายเพียงรุ่น CLA และครอสโอเวอร์ GLA

สำหรับรถยนต์ทั้งสองรุ่นเป็นการประกอบในประเทศ จึงทำราคาได้น่าสนใจ หรือเริ่มต้น 2.09 ล้านบาทสำหรับ GLA และ 2.14 ล้านบาทสำหรับ CLA ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ต้องการขยายฐานลูกค้า หรือเป็นทางเลือกในระดับ Entry Level ของแบรนด์ ขณะเดียวกันก็เพื่อวางตำแหน่งสินค้าให้ชัดเจน ต่างจากกลุ่ม Contemporary อย่าง ซี,อี,เอส-คลาส และเอสยูวีรุ่นอื่นๆอีกด้วย

ข้ามมาที่ฝั่ง “บีเอ็มดับเบิลยู” มีสองไฮไลท์ที่เตรียมไว้รองรับโครงสร้างภาษีใหม่อย่าง ซีรีย์3 ปลั๊ก-อินไฮบริด 330e M Sport แม้จะเป็นรุ่นนำเข้าทั้งคันแต่ยังสามารถทำราคาให้แข่งขันกับ ซี-คลาส C350e ได้สูสี ด้วยค่าตัว 3.099 ล้านบาท รวมถึงเอสยูวีรุ่นเริ่มต้น X1 โมเดลเชนจ์ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ที่การเปิดตัวช่วงแรกมากับรุ่นนำเข้าทั้งคัน ราคา 2.599 ล้านบาท แต่ล่าสุดมีการแจ้งกับลูกค้าว่า X1รุ่นประกอบในประเทศจะมีรถพร้อมส่งมอบตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีนี้ ด้วยราคา 2.499 ล้านบาท

เช่นเดียวกับเอสยูวีรุ่นอื่นๆของค่าย ที่มีพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลเกือบทั้งหมด มีเพียง X3 xDrive20i ที่ยังเหนียวกับเครื่องยนต์เบนซิน ขณะที่ X5 มีทั้งเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร และรุ่นปลั๊ก-อินไฮบริด ที่เตรียมขึ้นไลน์ประกอบในประเทศเช่นกัน
X1
320d
ส่วนรถเครื่องยนต์เบนซิน ที่บีเอ็มดับเบิลยูถอดออกจากตลาดไปแล้ว มีทั้งซีรีย์4 รุ่น 420i และ 428i (ตัวแรง) รวมถึงซีรีย์5 รุ่น 520i

โดยทีเด็ดเน้นขายของ “บีเอ็มดับเบิลยู” ช่วงนี้จึงอยู่ที่ ซีรีย์5 และซีรีย์3 เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร บล็อกใหม่รหัส B47 ให้กำลังสุงสุด 190 แรงม้า แถมยังทำเป็นล็อตพิเศษ ลดออปชัน พร้อมกดราคาต่ำมายั่วกระเป๋าเงินลูกค้า

สำหรับซีรีย์ 5 ใช้ชื่อรุ่นว่า 520d Elite หรือก็คือรุ่นธรรมดาที่ไม่ใส่ชุดแต่ง M Sport พร้อมขาย 2.99 ล้านบาท (520d M Sport ขาย 3.599 ล้านบาท) อาจจะเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของ ซีรีย์5 รหัส F10 เพราะโฉมใหม่โมเดลเชนจ์เตรียมเปิดตัวในตลาดโลกไม่เกินปลายปีนี้แล้ว

ขณะที่ซีรีย์3 ก็น่าจะเรียกลูกค้าได้เช่นกัน กับรุ่น 320d Iconic ตั้งชื่อเท่เก๋ไก๋แต่ตัดออปชันอย่าง ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ระบบคอมฟอร์ตแอคเซส (เข้าไปในรถโดยไม่ต้องกดกุญแจรีโมทเปิดประตู) รวมถึงม่านบังแดดหลังควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า เป็นต้น สนนราคาขายเพียง 2.299 ล้านบาทโดยลูกค้าที่จองวันนี้สามารถรับรถได้ทันที และมีจำนวนจำกัด(BMWมามุขนี้อีกแล้ว)

...นั่นเป็นทิศทางของรถยนต์ระดับหรู ที่จำต้องถอดรถเครื่องยนต์เบนซินที่ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาลดลงออกไปจากตลาดตามโครงสร้างภาษีใหม่ ขณะเดียวกันแม้รถเครื่องยนต์เบนซินหลายรุ่นของสองค่ายพยายามขายราคาเดิม แต่ก็ไม่สามารถเล่นแคมเปญแรงๆได้ เนื่องจากต้องสนับสนุนราคาจากส่วนต่างที่จ่ายภาษีที่เพิ่มขึ้น 5% เรียกว่าอาจจะขาดทุนกำไร ว่ากันอย่างนั้น

...ใครชื่นชอบรถยุโรปเครื่องยนต์เบนซินอาจจะต้องทำใจ ด้วยทางเลือกที่ถูกจำกัด แต่นี่ก็ถือเป็นการปรับเปลี่ยนตามทิศทางยานยนต์โลก เพราะไม่ว่าจะรถเครื่องยนต์ดีเซล หรือปลั๊ก-อินไฮบริด สามารถตอบสนองได้ดีทั้งสมรรถนะการขับขี่ พร้อมกินน้ำมันน้อย และปล่อยไอเสียต่ำ แถมราคาขายยังเข้าถึงได้มากขึ้น
ผู้จัดการมอเตอริ่ง แจกบัตรเช้าชมงาน Auto salon งานแสดงรถแต่งและอุปกรณ์โมดิฟาย ท่านละ 2 ใบ รับได้ที่บ้านพระอาทิตย์ เวลาทำการ 8.00-18.00 โอปอเรเตอร์ เบอร์ 02-6294488 โทรเช็คบัตรก่อนนะคะ ...งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-26 มิถุนายน 2559
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring

กำลังโหลดความคิดเห็น