นอกจากพวก SUV พันธุ์แท้อย่าง GLE หรือ GLE Coupe แล้ว ทางด้าน Mercedes-Benz ยังลุยตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ด้วยทางเลือกใหม่ที่คราวนี้จับเอา E-Class Wagon มายกสูง และเพิ่มขีดความสามารถในการลุยบนเส้นทางวิบาก
เวอร์ชันนี้มีชื่อว่า All-Terrain และถือเป็นคู่แข่งสายตรงของ Volvo V90 Cross Country ที่เพิ่งเผยโฉมออกมาก่อนหน้า Benz ได้ไม่นาน รวมถึงผู้ที่อยู่ในตลาดอยู่แล้วอย่าง Audi A6 Allroad โดยการพัฒนานั้นเป็นไปตามรถยนต์ในสไตล์ Outback ที่หยิบเอาตัวถังแวกอนมายกสูงเพิ่มเพิ่มพื้นที่ใต้ท้องรถ หรือ Ground Clearance อีกระดับ ซึ่งในกรณีของ E-Class รุ่นนี้เพิ่มขึ้นเป็น 156 มิลลิเมตร พร้อมกับเสริมความบึกบึนด้วยขอบพลาสติกสีดำที่บริเวณโป่งซุ้มล้อและชายล่างของตัวถัง
นอกจากรายละเอียดข้างบนแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับ E-Class Estate รุ่นปกติจะพบกับความต่างในแง่ของรูปลักษณ์อีกเล็กน้อย โดยเฉพาะกระจังหน้าซึ่งมีการเปลี่ยนใหม่มาเป็นแบบลาย 2 ซี่ใหญ่
สำหรับเครื่องยนต์ที่ทำตลาดในช่วงแรกนั้น จะมีเพียงแบบเดียว คือ เทอร์โบดีเซล 4 สูบ 2,000 ซีซี 191 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 40.7 กก.-ม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะแบบ 9G-Tronic และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา โดยสมรรถนะในการขับเคลื่อนนั้นใช้เวลาเพียง 8 วินาทีในการทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีความเร็วสูงสุด 231 กิโลเมตร/ชั่วโมงพร้อมกับระดับการคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 137 กรัม/กิโลเมตร
ส่วนถ้าใครยังไม่รีบและอยากรอทางเลือกอื่นๆ ก็อดใจได้แต่ต้องรอจนถึงปลายปี 2017 จะมีรุ่น E220d ที่ใช้บล็อกเดียวกับรุ่นนี้แต่เพิ่มความเร้าใจด้วยตัวเลขแรงม้าเกิน 200 ตัว และรุ่นวี6 ในรหัส E350d
เวอร์ชันนี้มีชื่อว่า All-Terrain และถือเป็นคู่แข่งสายตรงของ Volvo V90 Cross Country ที่เพิ่งเผยโฉมออกมาก่อนหน้า Benz ได้ไม่นาน รวมถึงผู้ที่อยู่ในตลาดอยู่แล้วอย่าง Audi A6 Allroad โดยการพัฒนานั้นเป็นไปตามรถยนต์ในสไตล์ Outback ที่หยิบเอาตัวถังแวกอนมายกสูงเพิ่มเพิ่มพื้นที่ใต้ท้องรถ หรือ Ground Clearance อีกระดับ ซึ่งในกรณีของ E-Class รุ่นนี้เพิ่มขึ้นเป็น 156 มิลลิเมตร พร้อมกับเสริมความบึกบึนด้วยขอบพลาสติกสีดำที่บริเวณโป่งซุ้มล้อและชายล่างของตัวถัง
นอกจากรายละเอียดข้างบนแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับ E-Class Estate รุ่นปกติจะพบกับความต่างในแง่ของรูปลักษณ์อีกเล็กน้อย โดยเฉพาะกระจังหน้าซึ่งมีการเปลี่ยนใหม่มาเป็นแบบลาย 2 ซี่ใหญ่
สำหรับเครื่องยนต์ที่ทำตลาดในช่วงแรกนั้น จะมีเพียงแบบเดียว คือ เทอร์โบดีเซล 4 สูบ 2,000 ซีซี 191 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 40.7 กก.-ม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะแบบ 9G-Tronic และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา โดยสมรรถนะในการขับเคลื่อนนั้นใช้เวลาเพียง 8 วินาทีในการทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีความเร็วสูงสุด 231 กิโลเมตร/ชั่วโมงพร้อมกับระดับการคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 137 กรัม/กิโลเมตร
ส่วนถ้าใครยังไม่รีบและอยากรอทางเลือกอื่นๆ ก็อดใจได้แต่ต้องรอจนถึงปลายปี 2017 จะมีรุ่น E220d ที่ใช้บล็อกเดียวกับรุ่นนี้แต่เพิ่มความเร้าใจด้วยตัวเลขแรงม้าเกิน 200 ตัว และรุ่นวี6 ในรหัส E350d