แม้ว่าจะมี Q5 วางขายดักลูกค้าที่ชอบอะไรลุยๆ อยู่แล้วก็ตาม แต่สำหรับคนที่อาจจะไม่ค่อยชอบตัวถังแบบ SUV และติดใจกับตัวถังแบบแวกอนที่ให้สัมผัสในการขับเหมือนกับรถเก๋งมากกว่า ทาง Audi ก็มีอีกทางเลือกออกมาแล้ว สำหรับรหัส Allroad Quattro ที่มีขายอยู่บนตัวถังของ A4 Avant รุ่นใหม่
งานนี้อ้างอิงและยึดพื้นฐานของ A4 Avant เหมือนกับพวกรถยนต์ในตระกูล Outback ทั้งหลาย โดยมีการยกสูงจากรุ่นปกติอีก 34 มิลลิเมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างใต้ท้องรถและเพิ่มสมรรถนะในการลุยวิบาก และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 90 กิโลกรัม ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายยังเยอะเหมือนกับรุ่นปกติ โดยมีความจุในระดับ 505 ลิตร และจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,510 ลิตรเมื่อพับเบาะนั่งแถวหลังลง
ตัวรถมาพร้อมกับล้อแม็ก 17 นิ้วจากโรงงาน หรือถ้าอยากได้วงโตกว่านี้ก็จ่ายเงินเพิ่มเพื่อแลกกับล้อไซส์ 19 นิ้วได้ ส่วนรูปลักษณ์ภายนอก มีการดัดแปลงและเพิ่มความแข็งแกร่งผสมผสานกับความบึกบึนได้อย่างลงตัว ทั้งกันชนหน้าใหม่ และการเพิ่มกาบสีดำบนซุ้มล้อทั้ง 4 ด้าน
สำหรับเครื่องยนต์ก็มีให้เลือกหลากหลายตามความต้องการ ซึ่งยังใช้ขุมพลังพื้นฐานจากบล็อกTFSI สำหรับรุ่นเบนซิน และ TDI สำหรับรุ่นเทอร์โบดีเซล โดยแบบแรกมีทั้งรุ่น 2,000 ซีซี เทอร์โบ FSI ที่มีกำลังสูงสุด 252 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 37.7 กก.-ม.
ส่วนรุ่นเทอร์โบดีเซลก็ใช้แบบ 4 สูบ 2,000 ซีซีเหมือนกัน แต่มีให้เลือกหลายระดับความแรง ทั้งรุ่นพื้นฐาน 150 แรงม้า ตามด้วย 163 และ 190 แรงม้า ขณะที่รุ่นท็อปของเครื่องยนต์กลุ่มนี้เป็นรหัสวี6 ขนาด 3,000 ซีซี ที่มีให้เลือก 2 ระดับ คือ 218 แรงม้า และ 272 แรงม้า ซึ่งรุ่นหลังสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ Quattro พร้อมโหมด Audi Drive Select ซึ่งสามารถเลือกปรับอัตราทดเกียร์ และการทำงานของช่วงล่าง และระบบบังคับเลี้ยว ให้สอดคล้องกับสภาพเส้นทางที่เผชิญอยู่ โดยที่เกียร์มีให้เหลือกลากหลายขึ้นอยู่กับรุ่นเครื่องยนต์ ทั้งแบบธรรมดา 6 จังหวะ แบบ S Tronic 7 จังหวะ หรือแบบ Tiptronic 8 จังหวะ
คนที่อยากได้รีบสั่งจองแต่เนิ่นๆ จะได้นับถอยหลังรอรับรถช่วงกลางปีนี้ โดยทาง Audi จะเริ่มส่งขายในยุโรปเป็นแห่งแรก
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring
งานนี้อ้างอิงและยึดพื้นฐานของ A4 Avant เหมือนกับพวกรถยนต์ในตระกูล Outback ทั้งหลาย โดยมีการยกสูงจากรุ่นปกติอีก 34 มิลลิเมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างใต้ท้องรถและเพิ่มสมรรถนะในการลุยวิบาก และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 90 กิโลกรัม ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายยังเยอะเหมือนกับรุ่นปกติ โดยมีความจุในระดับ 505 ลิตร และจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,510 ลิตรเมื่อพับเบาะนั่งแถวหลังลง
ตัวรถมาพร้อมกับล้อแม็ก 17 นิ้วจากโรงงาน หรือถ้าอยากได้วงโตกว่านี้ก็จ่ายเงินเพิ่มเพื่อแลกกับล้อไซส์ 19 นิ้วได้ ส่วนรูปลักษณ์ภายนอก มีการดัดแปลงและเพิ่มความแข็งแกร่งผสมผสานกับความบึกบึนได้อย่างลงตัว ทั้งกันชนหน้าใหม่ และการเพิ่มกาบสีดำบนซุ้มล้อทั้ง 4 ด้าน
สำหรับเครื่องยนต์ก็มีให้เลือกหลากหลายตามความต้องการ ซึ่งยังใช้ขุมพลังพื้นฐานจากบล็อกTFSI สำหรับรุ่นเบนซิน และ TDI สำหรับรุ่นเทอร์โบดีเซล โดยแบบแรกมีทั้งรุ่น 2,000 ซีซี เทอร์โบ FSI ที่มีกำลังสูงสุด 252 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 37.7 กก.-ม.
ส่วนรุ่นเทอร์โบดีเซลก็ใช้แบบ 4 สูบ 2,000 ซีซีเหมือนกัน แต่มีให้เลือกหลายระดับความแรง ทั้งรุ่นพื้นฐาน 150 แรงม้า ตามด้วย 163 และ 190 แรงม้า ขณะที่รุ่นท็อปของเครื่องยนต์กลุ่มนี้เป็นรหัสวี6 ขนาด 3,000 ซีซี ที่มีให้เลือก 2 ระดับ คือ 218 แรงม้า และ 272 แรงม้า ซึ่งรุ่นหลังสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ Quattro พร้อมโหมด Audi Drive Select ซึ่งสามารถเลือกปรับอัตราทดเกียร์ และการทำงานของช่วงล่าง และระบบบังคับเลี้ยว ให้สอดคล้องกับสภาพเส้นทางที่เผชิญอยู่ โดยที่เกียร์มีให้เหลือกลากหลายขึ้นอยู่กับรุ่นเครื่องยนต์ ทั้งแบบธรรมดา 6 จังหวะ แบบ S Tronic 7 จังหวะ หรือแบบ Tiptronic 8 จังหวะ
คนที่อยากได้รีบสั่งจองแต่เนิ่นๆ จะได้นับถอยหลังรอรับรถช่วงกลางปีนี้ โดยทาง Audi จะเริ่มส่งขายในยุโรปเป็นแห่งแรก
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring
