หลังประกาศแต่งตั้ง “ชาญชัย ตระการอุดมสุข” ขึ้นเป็นประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นคนไทยคนแรกที่ดำรงตำแหน่งนี้ น่าสนใจว่าในช่วงอุตสาหกรรมยานยนต์อยู่ในภาวะทรงตัว และมาสด้าถือเป็นแบรนด์ดาวรุ่งแห่งวงการ สามารถทำยอดขายได้เติบโตต่อเนื่อง ดังนั้นภายใต้บทบาทของ “แม่ทัพใหม่” จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจเดินไปในทิศทางไหน “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” ร่วมสัมภาษณ์
การทำงานของมาสด้าภายใต้ประธานคนไทย
ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมของมาสด้าที่แต่งตั้งประธานเป็นคนไทย(มีที่ปรึกษาคนญี่ปุ่น) และผมเชื่อว่าภายใต้ทีมงานคนไทยที่ถูกผลักดันให้มีบทบาทมากขึ้น จะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการช่วยพัฒนาองค์กรให้เดินหน้าต่อไป ภายใต้วิสัยทัศน์ One Mazda One Team
“ส่วนตัวผมเองมีปรัชญาการทำงานที่ชัดเจนและยึดถือมานานคือ วางเป้าหมาย ตั้งมาตรฐานไว้ แล้วทำให้เหนือกว่า”
ส่วนไหนที่ต้องพัฒนาเร่งด่วน
เราอยากให้มาสด้าเป็นแบรนด์หนึ่งเดียวที่ลูกค้าเลือกและไว้ใจ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือพัฒนางานขายการบริการหลังการขายให้เป็นรูปธรรม
“เป้าหมายของผมคือปรับปรุงโชว์รูมมาสด้าให้มีความทันสมัย ลูกค้าสบายใจเมื่อเข้ามาใช้บริการ เช่นในโชว์รูมต้องมีเลาจ์ต้อนรับที่ดีขึ้น หรือมีวิธีการดึงลูกค้าเข้าโชว์รูมด้วยการไปรับรถยนต์ลูกค้าถึงที่ในวันธรรมดา รวมถึงกำลังพิจารณาแผนการเปิดแผนกบริการหลังการขายในวันอาทิตย์”
โดยการขายและการบริการหลังการขายต้องปรับปรุงอย่างเป็นรูปธรรม กลยุทธ์ของเราคือต้องดูแลลูกค้าไปตลอดอายุการใช้รถยนต์ ขณะเดียวกันต้องทำให้ดีลเลอร์มีแรงจูงใจ และทำให้มีผลกำไรต่อเนื่อง ล่าสุดเรายังวางแผนปรับปรุงโชว์รูม-ศูนย์บริการภายใต้ Corporate Identity (CI) ที่โดดเด่นทันสมัย บรรยกาศที่อบอุ่น พร้อมให้บริการครบทุกฟังก์ชั่น โดยเริ่มจากโชว์รูมมาสด้าที่พระราม 2 เป็นแห่งแรก จากนั้นภายในสิ้นปีนี้จะปรับปรุงรวม 15 แห่ง แบ่งเป็นในกรุงเทพ 3 แห่ง และต่างจังหวัดอีก 12 แห่ง ซึ่งตั้งเป้าปรับปรุงให้ครบ 147 แห่ง ภายในปี 2561
เป้าหมายการขาย
ปีนี้เราเพิ่งประกาศปรับเป้าหมายการขายใหม่จาก 42,000 คันเป็นกว่า 45,000 คัน (ปี 2558 ทำได้ 40,000 คัน) ปัจจัยความสำเร็จมาจากความยอดเยี่ยมของตัวโปรดักต์ที่เหนือกว่าคู่แข่ง รวมถึงการทำงานหนักของทีมงานและเครือข่ายผู้จำหน่าย เช่นเดียวกับการออกแคมเปญที่จูงใจในจังหวะเวลาที่เหมาะสม
โดยยอดขาย 8 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.- ส.ค.2559) มาสด้าทำได้ 28,184 คัน เติบโต 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แบ่งเป็น มาสด้า2 จำนวน 15,185 คัน มาสด้า3 จำนวน 2,753 คัน มาสด้า CX-3 จำนวน 3,572 คัน มาสด้า CX-5 จำนวน 2,112 คัน ปิกอัพมาสด้า บีที-50 โปร จำนวน 4,540 คัน และรถสปอร์ต MX-5 จำนวน 22 คัน พร้อมครองส่วนแบ่งการตลาด 5.7%
อย่างไรก็ตาม ยังมีช่วงที่มาสด้าสามารถทำส่วนแบ่งการตลาดได้ถึง 6.4% (เดือนเมษายน) ซึ่งถือว่าสูงสุดตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา ขณะที่ตลาดรวมปีนี้คาดว่าจะมีตัวเลข 780,000 คัน จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและความมั่นใจของผู้บริโภคเริ่มกลับมา
สำหรับเป้าหมายในระยะยาว ผมหวังให้ยอดขายมาสด้าเติบโตขึ้นทุกปี และภายในสองปีต้องมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 8%
โปรดักต์ใหม่และนโยบายการทำตลาดปิกอัพ
เดือนพฤศจิกายนนี้เตรียมเปิดตัว “มาสด้า3 ไมเนอร์เชนจ์” ที่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ นั่นทำให้ปีนี้เรามีรถใหม่เปิดตัวรวม 6 รุ่น ในส่วนของปิกอัพคงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกลตลาด นั่นเพราะเราเน้นกลยุทธ์ไปที่รถยนต์นั่งหรือเอสยูวีเป็นหลัก ส่วนการประกาศความร่วมมือกับอีซูซุนั้น เป็นข้อตกลงระหว่างบริษัทแม่ ที่ตอนนี้เรายังไม่มีข้อมูลและกำหนดการเปิดตัว
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring