xs
xsm
sm
md
lg

เบนซ์ "ซี-คลาส" "เอส-คลาส" ปลั๊ก-อิน ไฮบริด...ขับมัน อลังการ ราคางาม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

แรกเริ่มเดิมทีคงต้องยกเครดิตให้บรรดาค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นครับ ที่เป็นผู้บุกเบิกการทำตลาดรถยนต์ไฮบริดในเมืองไทย ตั้งแต่ค่อยๆสร้างการรับรู้ว่า คืออะไร ทำงานอย่างไร และประสิทธิภาพดีงามขนาดไหน พร้อมเดินเกมคู่ขนานกับการเตรียมขึ้นไลน์ผลิตในประเทศ จนทำราคาให้เอื้อมถึงได้

แต่ถึงวันนี้ ดูเหมือนว่าค่ายรถยนต์ยุโรปจะขยับตัวพัฒนาเทคโนโลยีไฮบริดอย่างรวดเร็ว แถมไม่รอช้าจัดการนำเสนอรถยนต์ไฮบริดที่ก้าวล้ำไปอีกขั้น นั่นคือ “ปลั๊ก-อิน ไฮบริด” ที่สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟ มาให้คนไทยได้สัมผัสแล้ว

ทั้งนี้การที่ค่ายรถยนต์ยุโรปขยับตัวว่องไวในเมืองไทย ส่วนหนึ่งเพราะมีโมเดลทำตลาดน้อยกว่า และต้องเปลี่ยนเทคโนโลยีตามโมเดลที่ขายในตลาดโลกทันที ต่างจากการทำตลาดแบบแมสของค่ายญี่ปุ่น

เริ่มตั้งแต่ ปอร์เช่ “คาเยนน์” กับ “พานาเมรา” ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ราคา 7.99 ล้านบาท 10.25 ล้านบาท ตามลำดับ และปลายปีที่แล้ว บีเอ็มดับเบิลยู เสริมทัพ “เอ็กซ์5” xDrive40e มาอีกหนึ่งรุ่น ราคา 5.39 ล้านบาท (ทั้งหมดเป็นรถยนต์นำเข้าทั้งคัน) แต่ที่กระหึ่มตลาดล่าสุดต้องยกให้การขึ้นไลน์ประกอบ “ซี-คลาส” และ “เอส-คลาส” ปลั๊ก-อิน ไฮบริด พร้อมเปิดตัวเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
S500 e

C350 e
เรียกว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เตรียมแผนไว้รองรับกับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ทันที นั่นเพราะ “ซี-คลาส” และ “เอส-คลาส” ปลั๊ก-อินไฮบริด ทั้งสองรุ่นปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตรแน่ๆ จึงเสียภาษีสรรพสามิตเพียง 10% (อัตราต่ำสุดในรถยนต์ประเภทนี้ และเท่ากับอัตราภาษีเก่า) ต่างจากบลูเทคไฮบริดเดิม (เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตรกับมอเตอร์ไฟฟ้า) ที่ปล่อยเกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร ดังนั้นถ้ายังทำตลาดอยู่ก็จะโดนภาษีสรรพสามิตใหม่ที่จัดเก็บ 20%

โดย ซี-คลาส ปลั๊ก-อินไฮบริด ขายในชื่อรุ่น C350 e ราคาเริ่มต้น 2.99 ล้านบาท (C300 บลูเทค ไฮบริด เริ่ม 2.84 ล้านบาท) เอส-คลาส ปลั๊ก-อินไฮบริด มาในชื่อ S500 e ราคาเริ่มต้น 6.39 ล้านบาท (S300 บลูเทค ไฮบริด เริ่ม 5.99 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่ได้รับกับราคาค่าตัวถือว่าน่าสนใจมากๆ

...เมื่อเทียบศักยภาพจากเทคโนโลยีไฮบริดเดิมๆ ที่เครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าจะผสานการทำงานกัน ซึ่งหลักๆคือนำมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยลดภาระของเครื่องยนต์ เพื่อให้รถกินน้ำมันน้อยลง ปล่อยมลพิษต่ำ ส่วนค่ายรถยนต์ไหนจะใช้โครงสร้าง ระบบการทำงานอย่างไรก็สุดแล้วแต่

ขณะที่รถยนต์ปลั๊ก-อินไฮบริด จะเหนือชั้นยิ่งขึ้นด้วยความสามารถในการเสียบชาร์จไฟ(บ้านปกติ) เพื่อไปสะสมไว้ในแบตเตอรีก่อน จึงทำให้รถยนต์สามารถวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆเพียงอย่างเดียวได้ในระยะทางหนึ่ง จากนั้นเมื่อปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่เหลือน้อย ระบบจะกลับมาเป็นการผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าอีกครั้ง (ซึ่งเครื่องยนต์ต้องทำหน้าที่ทั้ง ขับเคลื่อนรถและปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรีด้วย)

ในส่วนรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ปลั๊กอิน ไฮบริด เริ่มจากรุ่น C350 e วางแบตเตอรีลิเธียม-ไอออน ขนาดความจุ 6.38 กิโลวัตต์ น้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัม ไว้ที่เก็บสัมภาระด้านหลัง (กินพื้นที่จากรุ่นปกติไปเล็กน้อย ขณะที่ยางอะไหล่ไม่มีเพราะรถใช้ยางแบบรันเฟลต) ชาร์จไฟเต็มที่ใช้เวลา 3 ชั่วโมง รถจะวิ่งด้วยพลังมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน (E Mode) ได้ถึง 31 กิโลเมตร

ส่วน S500 e วางแบตเตอรีลิเธียม-ไอออน ไว้ตำแหน่งเดียวกัน แต่มีความจุมากกว่าคือ 8.7 กิโลวัตต์ น้ำหนักประมาณ 114 กิโลกรัม การชาร์จไฟให้เต็มใช้เวลา 4 ชั่วโมง สามารถวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ(E Mode) ได้ระยะทาง 33 กิโลเมตร
ซ้ายขุมพลังของ C350 e และขวา S500 e
สำหรับประสิทธิภาพของ C350 e ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมทั้งระบบ 279 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตัน-เมตร (เครื่องยนต์อย่างเดียวให้กำลัง 211 แรงม้า) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.

ในโหมดไฮบริด C350 e รถวิ่งดี ขับสนุกครับ ดูจากอัตราเร่งก็สปอร์ตคาร์ดีๆนี่เอง บวกการควบคุมเฉียบคม พร้อมช่วงล่างแบบถุงลม AIRMATIC (ปรับระดับได้) หนึบแน่น และให้ความคล่องตัวสูง จนผู้เขียนรู้สึกว่าชอบสมรรถนะของC350 e มากกว่า C300 บลูเทคไฮบริดเดิม

นอกจากนี้ ถ้านิยมจะขับแบบประหยัดน้ำมัน C350 e ยังมีความสามารถเหลือล้น ลองสัมผัสในโหมดไฮบริดนี่ละครับ จากจุดหยุดนิ่งแตะคันเร่งปกติ (แบบไม่ต้องกดแรงและเร็วมาก) ค่อยๆเพิ่มน้ำหนักเท้าลงไปแบบเนียนๆ รถสามารถวิ่งด้วยพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียวได้จนถึงความเร็ว 80 กม./ชม.เลยนะครับ (รถไฮบริดแบรนด์ญี่ปุ่นหลายรุ่น เหยียบคันเร่งเนียนๆลักษณะเดียวกันแต่เมื่อความเร็วถึง 30-40 กม./ชม. เครื่องยนต์ก็ติดขึ้นมาช่วยทำงานแล้ว)

ขณะเดียวกันเมื่อขับความเร็วสูงในโหมดไฮบริด เครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานผสานกันนุ่มเนียนต่อเนื่อง ถ้าตาไม่ตั้งใจมองไปที่เข็มวัดรอบ แทบจะไม่รู้สึกว่าเครื่องยนต์ทำงานขึ้นมาตอนไหน ขณะที่ความเร็ว 100 กม./ชม. เกียร์สูงสุด (เกียร์ 7) รอบเครื่องยนต์ยังต่ำมากหรือไม่ถึง 2,000 รอบ

ส่วนS500 e วางเครื่องยนต์เบนซิน วี6 ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมทั้งระบบ 442 แรงม้า แรงบิด 650นิวตันเมตร (เครื่องยนต์อย่างเดียวให้กำลัง 333 แรงม้า) แม้ตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ดีกว่า C350 e ที่ 5.2 วินาที แต่ด้วยลักษณะของรถจึงไม่รู้สึกว่าพุ่งกระชากหรือพลังแรงกว่า

โดย S500 e ยังคงบุคลิกนิ่งๆ แน่นๆ (ช่วงล่างถุงลม) แฝงความสุนทรีย์ มีความโออ่า อลังการ เช่นเดียวกับงานเก็บเสียงภายในห้องโดยสารที่เงียบกริบ ส่วนความเร็วสูงสุดล็อคเอาไว้เท่ากับ C350 e ที่ 250 กม./ชม.

C350 e และ S500 e สามารถเลือกโหมดการทำงานได้ 4 แบบ
HYBRIDการทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยระบบจะเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด และใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเท่าที่จำเป็น หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20 % ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น และถ้าผู้ขับขี่ปรับเกียร์อัตโนมัติเป็นโหมดสปอร์ต (S)รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว มอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ทำงาน
E-MODEสำหรับ C350 e สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ(ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว) ได้ระยะทางสูงสุด 31 กิโลเมตรโดยไม่มีการคายไอเสีย (ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานของแบตเตอรี่และความเร็วที่ใช้) หรือสามารถใช้ความเร็วสูงสุด(ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า)ได้ถึงความเร็ว 130 กม./ชม. ส่วน S500 e ขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียวได้ระยะทางสูงสุด 33 กม. หรือใช้ความเร็วสูงสุดได้ถึง 140 กม./ชม. โดยเฉพาะการขับขี่ในเมืองที่การทำงานของระบบนี้สามารถครอบคลุมการใช้งานได้เป็นอย่างดี ผู้ขับขี่จะต้องไม่กดแป้นคันเร่งจนเกินแรงต้าน หากกดแป้นคันเร่งเกินแรงต้านเมื่อใด เครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนรถยนต์ทันที
E-SAVEในขณะเริ่มต้นใช้ E-SAVE ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก ในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้มีปริมาณเท่าเดิมกับตอนเริ่มต้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการวางแผนการเดินทางล่วงหน้า ว่ากำลังจะต้องเดินทางเข้าเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น หลังจากชาร์จแบตเตอรี่ high-volt จนเต็มแล้ว ควรเลือก E-SAVE ในการเริ่มต้นเดินทางก่อนที่จะเข้าเมือง เมื่อขับถึงในเมืองก็จะมีปริมาณกระแสไฟสูงสุดที่จะใช้ E-MODE สำหรับการเดินทางในเมืองได้อย่างเต็มที่
CHARGEการทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลยเพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ high-volt อย่างต่อเนื่อง แรงหมุนของเครื่องยนต์จะถูกนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าไปสะสมไว้ในแบตเตอรี่และจะมีการแปลงพลังงานจลน์ที่เกิดจากการชะลอความเร็วหรือการเบรกให้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าและเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่อีกด้วย เมื่อชาร์จไฟเต็ม ระบบจะปรับไปที่การทำงานในรูปแบบ E-SAVE โดยอัตโนมัติ

ภายใน C350 e


C350 e

….อย่างไรก็ตาม หลังจากสตาร์ทเครื่องโดยเหยียบแป้นเบรกและกดปุ่ม (จริงๆต้องบอกว่า สตาร์ทระบบมากกว่า เพราะเครื่องยนต์ยังไม่ติด) ทุกครั้งรถจะเริ่มต้นทำงานในโหมดไฮบริดก่อน จากนั้นผู้ขับถึงจะเลือกโหมดต่างๆดังกล่าวได้ด้วยปุ่มควบคุมตรงคอนโซลกลาง

สำหรับ C350 e เมอร์เซเดส-เบนซ์ เคลมอัตราบริโภคน้ำมันเอาไว้สูงสุด 40 กม./ลิตร ส่วน S500 e ทำได้ 37 กม./ลิตร

รวบรัดตัดความ... C350 e ขับสนุกระดับสปอร์ตซีดาน(ซาลูน)ชั้นดี ส่วน S500 e ยังคงโอ่อ่า อลังการ บุคลิกนิ่ง แต่ทั้งหมดทั้งปวงก็มุ่งหวังอัตราบริโภคน้ำมันที่เป็นมิตรใกล้ชิดสิ่งแวดล้อม นับเป็นอีกเทคโนโลยียานยนต์ทันสมัยที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ นำมาให้คนไทยได้สัมผัสในระดับราคาที่สมเหตุสมผล อันสอดคล้องกับนโยบายสนับสนุนด้านภาษีของรัฐบาล
S500 e

ภายใน S500 e



กำลังโหลดความคิดเห็น