จากรถยนต์ไฮบริดที่คนไทยเริ่มคุ้นเคย ด้วยพลังขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าผสานการทำงาน พร้อมชุดแพกแบตเตอรี่ที่คอยสนับสนุนอยู่ด้านหลัง ส่วนใครจะวางโครงสร้างแบบไหน หรือทำงานอย่างไรก็สุดแล้วแต่แนวคิดของค่ายรถยนต์นั้นๆ
จริงอยู่ที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเริ่มบุกเบิกในการทำตลาดรถยนต์ไฮบริดอย่างจริงจัง แต่ในเมืองไทยค่ายรถยนต์หรูจากยุโรปเริ่มแซงไปก่อนแล้วกับรถยนต์แบบ “ปลั๊ก-อินไฮบริด” ที่สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ ไล่ตั้งแต่ ปอร์เช่ พานาเมร่า-คาเยนน์,บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์5 ไดร์ฟอี (เพิ่งเปิดตัวในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2015)
ล่าสุดเจ้าพ่อรถหรูสบช่องกับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ฉบับใหม่เริ่มบังคับใช้ จัดการเปิดตัว “เอส-คลาส” และ “ซี-คลาส” ปลั๊ก-อินไฮบริด ซึ่งทั้งสองรุ่นปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร จึงเสียภาษีสรรพสามิตเพียง 10% (อัตราต่ำสุดในรถยนต์ประเภทนี้ และเท่ากับอัตราภาษีเก่า)
โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ศึกษาจนตัดสินใจประกอบ S 500 e และ C 350 e ปลั๊ก-อินไฮบริดในประเทศไทย ดังนั้นราคาก็ออกมาสวยงาม โดยรุ่นแรกเริ่มต้น 6.39 ล้านบาท และ 2.99 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับ S 500 e วางเครื่องยนต์เบนซิน วี6 ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบ ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 5.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาดความจุ 8.7 กิโลวัตต์ โดยแบตเตอรี่นี้สามารถชาร์ตไฟให้เต็มได้ภายในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ส่งผลให้สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือ EV ได้ไกล 31 กิโลเมตร
The S 500 e Exclusive ราคา 6,390,000 บาท
The S 500 e AMG Premium ราคา 6,990,000 บาท
ส่วน C 350 e ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาดความจุ 6.38 กิโลวัตต์ น้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัม สามารถชาร์ตไฟให้เต็มได้ภายในเวลา 3 ชั่วโมง ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนๆได้ 33 กิโลเมตร
The C 350 e Exclusive ราคา 2,990,000 บาท
The C 350 e AMG Dynamic ราคา 3,340,000 บาท
The C 350 e Estate AMG Dynamic ราคา 3,690,000 บาท
ทั้งสองรุ่นเลือกโหมดการทำงานของระบบ“ปลั๊ก-อิน ไฮบริด” ได้ 4 แบบ
HYBRID: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยระบบจะเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด และใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเท่าที่จำเป็น หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20 % ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น
E-MODE: สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ(ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว)ได้จนถึงความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเฉพาะการขับขี่ในเมืองที่การทำงานของระบบนี้สามารถครอบคลุมการใช้งานได้เป็นอย่างดี ผู้ขับขี่จะต้องไม่กดแป้นคันเร่งจนเกินแรงต้าน หากกดแป้นคันเร่งเกินแรงต้านเมื่อใด เครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนรถยนต์ทันที
E-SAVE: ในขณะที่เริ่มต้นใช้ E-SAVE ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลักในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้มีปริมาณเท่าเดิมกับตอนเริ่มต้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการวางแผนการเดินทางล่วงหน้า ว่ากำลังจะต้องเดินทางเข้าเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น หลังจากชาร์จแบตเตอรี่ high-volt จนเต็มแล้ว ควรเลือก E-SAVE ในการเริ่มต้นเดินทางก่อนที่จะเข้าเมือง เมื่อขับถึงในเมืองก็จะมีปริมาณกระแสไฟสูงสุดที่จะใช้ E-MODE สำหรับการเดินทางในเมืองได้อย่างเต็มที่
CHARGE: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลย เพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ high-volt อย่างต่อเนื่อง โดยแรงหมุนของเครื่องยนต์จะถูกนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า ไปสะสมไว้ในแบตเตอรี่และจะมีการแปลงพลังงานจลน์ที่เกิดจากการชะลอความเร็วหรือการเบรกให้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าและเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่อีกด้วย เมื่อชาร์จไฟเต็ม ระบบจะปรับไปที่การทำงานในรูปแบบ E-SAVE โดยอัตโนมัติ
….เอส-คลาส และ ซี-คลาส “ปลั๊ก-อิน ไฮบริด” นับเป็นอาวุธสำคัญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในเมืองไทย ซึ่งตัวเริ่มต้น C 350 e Exclusive ถือว่าราคามาแบบจับต้องได้เลยทีเดียว โดยรุ่นนี้เริ่มรับจองและส่งมอบได้ทันที ส่วน เอส-คลาส จะเริ่มส่งตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์นี้
จริงอยู่ที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเริ่มบุกเบิกในการทำตลาดรถยนต์ไฮบริดอย่างจริงจัง แต่ในเมืองไทยค่ายรถยนต์หรูจากยุโรปเริ่มแซงไปก่อนแล้วกับรถยนต์แบบ “ปลั๊ก-อินไฮบริด” ที่สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ ไล่ตั้งแต่ ปอร์เช่ พานาเมร่า-คาเยนน์,บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์5 ไดร์ฟอี (เพิ่งเปิดตัวในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2015)
ล่าสุดเจ้าพ่อรถหรูสบช่องกับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ฉบับใหม่เริ่มบังคับใช้ จัดการเปิดตัว “เอส-คลาส” และ “ซี-คลาส” ปลั๊ก-อินไฮบริด ซึ่งทั้งสองรุ่นปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร จึงเสียภาษีสรรพสามิตเพียง 10% (อัตราต่ำสุดในรถยนต์ประเภทนี้ และเท่ากับอัตราภาษีเก่า)
โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ศึกษาจนตัดสินใจประกอบ S 500 e และ C 350 e ปลั๊ก-อินไฮบริดในประเทศไทย ดังนั้นราคาก็ออกมาสวยงาม โดยรุ่นแรกเริ่มต้น 6.39 ล้านบาท และ 2.99 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับ S 500 e วางเครื่องยนต์เบนซิน วี6 ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบ ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 5.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาดความจุ 8.7 กิโลวัตต์ โดยแบตเตอรี่นี้สามารถชาร์ตไฟให้เต็มได้ภายในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ส่งผลให้สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือ EV ได้ไกล 31 กิโลเมตร
The S 500 e Exclusive ราคา 6,390,000 บาท
The S 500 e AMG Premium ราคา 6,990,000 บาท
ส่วน C 350 e ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาดความจุ 6.38 กิโลวัตต์ น้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัม สามารถชาร์ตไฟให้เต็มได้ภายในเวลา 3 ชั่วโมง ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนๆได้ 33 กิโลเมตร
The C 350 e Exclusive ราคา 2,990,000 บาท
The C 350 e AMG Dynamic ราคา 3,340,000 บาท
The C 350 e Estate AMG Dynamic ราคา 3,690,000 บาท
ทั้งสองรุ่นเลือกโหมดการทำงานของระบบ“ปลั๊ก-อิน ไฮบริด” ได้ 4 แบบ
HYBRID: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยระบบจะเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด และใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเท่าที่จำเป็น หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20 % ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น
E-MODE: สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ(ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว)ได้จนถึงความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเฉพาะการขับขี่ในเมืองที่การทำงานของระบบนี้สามารถครอบคลุมการใช้งานได้เป็นอย่างดี ผู้ขับขี่จะต้องไม่กดแป้นคันเร่งจนเกินแรงต้าน หากกดแป้นคันเร่งเกินแรงต้านเมื่อใด เครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนรถยนต์ทันที
E-SAVE: ในขณะที่เริ่มต้นใช้ E-SAVE ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลักในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้มีปริมาณเท่าเดิมกับตอนเริ่มต้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการวางแผนการเดินทางล่วงหน้า ว่ากำลังจะต้องเดินทางเข้าเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น หลังจากชาร์จแบตเตอรี่ high-volt จนเต็มแล้ว ควรเลือก E-SAVE ในการเริ่มต้นเดินทางก่อนที่จะเข้าเมือง เมื่อขับถึงในเมืองก็จะมีปริมาณกระแสไฟสูงสุดที่จะใช้ E-MODE สำหรับการเดินทางในเมืองได้อย่างเต็มที่
CHARGE: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลย เพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ high-volt อย่างต่อเนื่อง โดยแรงหมุนของเครื่องยนต์จะถูกนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า ไปสะสมไว้ในแบตเตอรี่และจะมีการแปลงพลังงานจลน์ที่เกิดจากการชะลอความเร็วหรือการเบรกให้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าและเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่อีกด้วย เมื่อชาร์จไฟเต็ม ระบบจะปรับไปที่การทำงานในรูปแบบ E-SAVE โดยอัตโนมัติ
….เอส-คลาส และ ซี-คลาส “ปลั๊ก-อิน ไฮบริด” นับเป็นอาวุธสำคัญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในเมืองไทย ซึ่งตัวเริ่มต้น C 350 e Exclusive ถือว่าราคามาแบบจับต้องได้เลยทีเดียว โดยรุ่นนี้เริ่มรับจองและส่งมอบได้ทันที ส่วน เอส-คลาส จะเริ่มส่งตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์นี้