ขณะที่ BMW กำลังฉลองครบรอบ 40 ปีในการคงอยู่ในตลาดของซีรีส์ 3 ด้วยรุ่นปรับโฉมของ F30 ทางด้าน Audi ส่งหมัดเด็ดชิงตลาดก่อน ด้วยการเปิดตัวโฉมใหม่ในแบบโมเดลเชนจ์ของ A4 คู่ปรับตัวฉกาจ โดยมาพร้อมกันทีเดียวทั้งซีดานและแวกอน ส่วนรุ่นสปอร์ตทั้งคูเป้และเปิดประทุนจะเป็นหน้าที่ของรหัสใหม่อย่าง A5
ถ้านับตามลำดับขั้นของการเปิดตัวรถยนต์ในตระกูล A4 ซึ่งเข้ามาแทนที่รุ่นดั้งเดิมคือ 80 เมื่อปี 1994 แล้ว โฉมใหม่นี้จะเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 5 โดยจะมาพร้อมกับความสดใหม่ของรูปลักษณ์ ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่ด้านหน้า โดยเฉพาะไฟหน้าทรงสปอร์ตที่ออกแบบได้อย่างลงตัวและกลมกลืนกับการใช้เทคโนโลยี LED ทั้งในส่วนของไฟหลัก และ Daytime Running Light
ในรุ่นซีดานมาพร้อมกับความปราดเปรียวด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานหรือ Cd ในระดับ 0.23 บนตัวถังที่มีความยาว 4,730 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,820 มิลลิเมตร พร้อมกับน้ำหนักตัวถังที่เบากว่ารุ่นเดิม 120 กิโลกรัม ขณะที่รุ่นแวกอนมีพื้นที่ใช้สอยด้านหลังซึ่งมีความจุ 505 ลิตร เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 15 ลิตร และเบาะหลังมีพนักพิงเป็นแบบแยกพับ 40:20:40 โดยเมื่อพับลงทั้งหมดจะมีความจุเพิ่มเป็น 1,510 ลิตร
จุดเด่นอีกประการของ A4 ใหม่คือ การออกแบบแผงมาตรวัดให้เป็นหน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว โดยจะสามารถเลือกแสดงผลได้อย่างหลากหลาย ทั้งการเป็นระบบนำทาง พร้อมกับมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ และความเร็ว ส่วนหน้าจอตรงกลางมีขนาด 8.3 นิ้วจะรับหน้าที่เป็นแผงควบคุมระบบต่างๆ ในตัวรถภายใต้เทคโนโลยี MMI ที่แฟนๆ ของ Audi คุ้นเคยกันดี
เครื่องยนต์มีให้เลือกหลายหลากเช่นเคย โดยครอบคลุมกำลังในระดับ 150-272 แรงม้า ซึ่งรุ่นเล็กสุดเป็นขุมพลังเบนซิน 1,400 ซีซี เทอร์โบ TFSI มีกำลังสูงสุด 150 แรงม้า แต่สามารถแล่นทำความเร็วสูงสุดได้ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วขยับไปตัวแรงเลยเป็น 2,000 ซีซี เทอร์โบ ที่มีกำลัง 252 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 6 วินาที และความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขณะที่ทางเลือของรุ่นเทอร์โบดีเซล ก็มีทั้ง 2,000 ซีซี TDI 150 แรงม้า และ 190 แรงม้า ตามด้วยบล็ิอก 3,000 ซีซี ซึ่งมีทั้ง 218 และ 272 แรงม้า ส่วนรุ่น G-tron ที่เป็นทางเลือกใหม่ของพลังงานทางเลือก โดยใช้ก๊าซธรรมชาติ CNG นั้นจะใช้ขุมพลัง 2,000 ซีซี เบนซินเทอร์โบเป็นแม่งาน และปรับสเป็กลงมาอยู่ที่ 170 แรงม้า
ระบบขับเคลื่อนมีให้เลือกทั้งแบบล้อหน้า และ 4 ล้อ quattro โดยระบบเกียร์ก็มีทั้งแบบธรมดา 6 จังหวะ และอัตโนมัติแบบ S Tronic 7 จังหวะ
เปิดตัวออกมาแล้วในเยอรมนี และจะเริ่มทยอยส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้ในเดือนหน้า ส่วนตลาดบ้านเรา อาจจะต้องรอกันอีกสักระยะ เร็วที่สุดก็ไม่น่าเกินปลายปีนี้
ถ้านับตามลำดับขั้นของการเปิดตัวรถยนต์ในตระกูล A4 ซึ่งเข้ามาแทนที่รุ่นดั้งเดิมคือ 80 เมื่อปี 1994 แล้ว โฉมใหม่นี้จะเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 5 โดยจะมาพร้อมกับความสดใหม่ของรูปลักษณ์ ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่ด้านหน้า โดยเฉพาะไฟหน้าทรงสปอร์ตที่ออกแบบได้อย่างลงตัวและกลมกลืนกับการใช้เทคโนโลยี LED ทั้งในส่วนของไฟหลัก และ Daytime Running Light
ในรุ่นซีดานมาพร้อมกับความปราดเปรียวด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานหรือ Cd ในระดับ 0.23 บนตัวถังที่มีความยาว 4,730 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,820 มิลลิเมตร พร้อมกับน้ำหนักตัวถังที่เบากว่ารุ่นเดิม 120 กิโลกรัม ขณะที่รุ่นแวกอนมีพื้นที่ใช้สอยด้านหลังซึ่งมีความจุ 505 ลิตร เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 15 ลิตร และเบาะหลังมีพนักพิงเป็นแบบแยกพับ 40:20:40 โดยเมื่อพับลงทั้งหมดจะมีความจุเพิ่มเป็น 1,510 ลิตร
จุดเด่นอีกประการของ A4 ใหม่คือ การออกแบบแผงมาตรวัดให้เป็นหน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว โดยจะสามารถเลือกแสดงผลได้อย่างหลากหลาย ทั้งการเป็นระบบนำทาง พร้อมกับมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ และความเร็ว ส่วนหน้าจอตรงกลางมีขนาด 8.3 นิ้วจะรับหน้าที่เป็นแผงควบคุมระบบต่างๆ ในตัวรถภายใต้เทคโนโลยี MMI ที่แฟนๆ ของ Audi คุ้นเคยกันดี
เครื่องยนต์มีให้เลือกหลายหลากเช่นเคย โดยครอบคลุมกำลังในระดับ 150-272 แรงม้า ซึ่งรุ่นเล็กสุดเป็นขุมพลังเบนซิน 1,400 ซีซี เทอร์โบ TFSI มีกำลังสูงสุด 150 แรงม้า แต่สามารถแล่นทำความเร็วสูงสุดได้ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วขยับไปตัวแรงเลยเป็น 2,000 ซีซี เทอร์โบ ที่มีกำลัง 252 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 6 วินาที และความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขณะที่ทางเลือของรุ่นเทอร์โบดีเซล ก็มีทั้ง 2,000 ซีซี TDI 150 แรงม้า และ 190 แรงม้า ตามด้วยบล็ิอก 3,000 ซีซี ซึ่งมีทั้ง 218 และ 272 แรงม้า ส่วนรุ่น G-tron ที่เป็นทางเลือกใหม่ของพลังงานทางเลือก โดยใช้ก๊าซธรรมชาติ CNG นั้นจะใช้ขุมพลัง 2,000 ซีซี เบนซินเทอร์โบเป็นแม่งาน และปรับสเป็กลงมาอยู่ที่ 170 แรงม้า
ระบบขับเคลื่อนมีให้เลือกทั้งแบบล้อหน้า และ 4 ล้อ quattro โดยระบบเกียร์ก็มีทั้งแบบธรมดา 6 จังหวะ และอัตโนมัติแบบ S Tronic 7 จังหวะ
เปิดตัวออกมาแล้วในเยอรมนี และจะเริ่มทยอยส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้ในเดือนหน้า ส่วนตลาดบ้านเรา อาจจะต้องรอกันอีกสักระยะ เร็วที่สุดก็ไม่น่าเกินปลายปีนี้