ตลาดเอสยูวีในปัจจุบันแข่งขันกันดุจริงๆครับ ไม่ว่าจะเมืองไทยหรือต่างประเทศ จากเมื่อก่อนรถประเภทนี้ถูกมองว่าเป็นตัวร้าย ด้วยขนาดรถและพกวางเครื่องยนต์บล็อกใหญ่ กินน้ำมันเยอะ ซึ่งประเด็นนี้เล่นเอาตลาดซบซึมไปพักใหญ่(ในช่วงราคาน้ำมันพุ่ง) แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยียานยนต์ก้าวหน้า ไปมาก ทั้งโลหะศาสตร์ช่วยลดน้ำหนัก พร้อมระบบขับเคลื่อนอันทันสมัย มีส่วนให้การพัฒนาเอสยูวีรุ่นใหม่ๆกินน้ำมันน้อยลง ประกอบกับการแตกไลน์มีตัวถังให้เลือกหลายขนาด บนความภูมิฐาน-อเนกประสงค์ที่ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
…ค่ายรถยนต์เพิ่มเซกเมนต์ใหม่ๆ ซอยย่อยไลน์อัพ เรียกว่ายุคนี้ใครไม่ทำเอสยูวีถือว่าแปลก!!!
ลองดูทิศทางของบีเอ็มดับเบิลยูก็ได้ครับ ปัจจุบันมีเอสยูวีที่ค่ายนี้เรียกว่า “เอสเอวี” (SAV - Sports Activity Vehicle) ทำตลาดไล่ตั้งแต่ X1,X3,X4,X5 และ X6 ซึ่งตัวเลขคู่จะหมายถึงตัวถังแบบสปอร์ตคูเป้(5 ประตู)
ล่าสุดพี่ใหญ่ในอนุกรมเอสยูวีอย่าง X5 (เอ็กซ์5) ที่ปัจจุบันเดินทางมาถึงเจเนอเรชันที่ 3 (รหัส F15) ยังเพิ่มความน่าสนใจและถือเป็นการพัฒนาไปอีกขั้นของบีเอ็มดับเบิลยูด้วยการเปิดตัวรุ่น “ปลั๊กอิน ไฮบริด” ที่ผสานการขับเคลื่อนระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ กับมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด
แน่นอนว่าระบบนี้ยังเหนือชั้นด้วยความสามารถในการเสียบชาร์จไฟเข้ากับตัวรถ เก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน เพื่อให้รถวิ่งได้ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ หรือไม่ต้องพึ่งพาเครื่องยนต์(น้ำมัน) ได้ในระยะทางหนึ่ง
สำหรับระบบ“ปลั๊กอิน ไฮบริด” เป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ในเทคโนโลยีที่บีเอ็มดับเบิลยูเรียกว่า BMW Efficient Dynamic eDrive เริ่มใช้มาก่อนหน้ากับ i3 (EVแบบขยายระยะทางวิ่ง) และ i8 ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยูวางให้รถยนต์ตระกูล i เป็นอีกซับแบรนด์หนึ่งของค่าย ดังนั้นคราวนี้จึงถือเป็นการใช้เทคโนโลยี eDrive กับรถยนต์แบรนด์หลักเป็นครั้งแรก ซึ่ง X5 ก็ได้รับเกียรตินั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี eDrive จะเริ่มใส่ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆของบีเอ็มดับเบิลยูที่จะทยอยเปิดตัวนับจากนี้ หรือที่เป็นข่าวไปแล้วอย่าง ซีรีย์3 ไมเนอร์เชนจ์ และซีรีย์7 โมเดลเชนจ์
โดย X5 กับเทคโนโลยี eDrive จะขายในชื่อ X5 xDrive40e ซึ่งผู้เขียนมีโอกาสไปลองขับถึงกรุงมิวนิค ประเทศเยอรมนี เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
งานนี้ปะปนผู้สื่อข่าวจากยุโรป ญี่ปุ่น และเอเชียบางประเทศ รวมๆก็ไม่เกิน 20 คนครับ (เฉพาะอีเวนต์วันนั้น)
รถเหมือนกันทุกคัน สเปกเดียวกัน สีเดียวกัน ไม่ต้องคิดอะไรมาก ก่อนจะลองขับจริงทีมงานบีเอ็มดับเบิลยูซึ่งล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญ และมีส่วนในการพัฒนารถยนต์รุ่นนี้มาแนะนำรายละเอียดพอสังเขป
นอกเหนือจากระบบขับเคลื่อนที่ต่างจากรุ่นเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลทั่วไป พร้อมแนะนำวิธีการเปลี่ยนโหมดและความสามารถต่างๆแล้ว ทีมงานบีเอ็มดับเบิลยูยังชี้แจงว่า พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังนั้นน้อยกว่า X5 รุ่นปกติแน่ๆ เพราะต้องวางแพกแบตเตอรี่ไว้ด้านล่าง(บนเพลาขับหลัง) ทำให้ต้องยกพื้นสูงขึ้นมาอีกนิด
ถ้าไม่พับเบาะหลัง X5 xDrive40e จะมีปริมาตรความจุประมาณ 500 ลิตร แต่ถ้าพับเบาะนั่งแถวสองให้ราบลงจะเพิ่มพื้นที่ได้เป็น 1,720 ลิตร (ถ้า X5 รุ่นเครื่องยนต์ปกติจะเป็น 1,870 ลิตร)
…ยอมรับว่าเสียพื้นที่ไปบ้างจากแพกแบตเตอรี่ แต่ยังมีเหลือพอสำหรับความอเนกประสงค์ที่ใช้งานได้อีกมาก
ในส่วนการขับขี่รถพวงมาลัยซ้าย ขับชิดขวา ต้องปรับความรู้สึกกันสักระยะครับ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมและปุ่มสั่งงานต่างๆ โดยเริ่มออกตัวจาก Press Service center (ศูนย์รับรถทดสอบ) ของบีเอ็มดับเบิลยูที่“การ์ชิง” (Garching) มุ่งลงใต้เข้าสู่เมืองมิวนิค ผ่านการจราจรหนาแน่น จากนั้นออกนอกเมืองใช้ออโตบาห์น เป้าหมายอยู่ที่ทะเลสาบ tegernsee และย้อนกลับมาเส้นทางเดิมอีกครั้ง เพื่อไปจบการทดสอบในช่วงเช้าที่สำนักงานใหญ่ของบีเอ็มดับเบิลยู (ตึกรูปทรงลูกสูบ) แถวๆโอลิมเปียปาร์ค (สนามโอลิมปิกสเตเดียม) ระยะทางก็เกือบๆ 200 กิโลเมตรครับ
โดย X5 xDrive40e จะมีปุ่มให้เลือกโหมดการขับขี่ eDrive ฝังอยู่บริเวณคอนโซลกลาง ใกล้ๆคันเกียร์ ซึ่งเป็นคนละปุ่มกับการเลือกโหมดการขับขี่แบบ Eco Normal Sport ที่เราคุ้นเคยนะครับ ซึ่งโหมดนี้จะเกี่ยวข้องกับระบบไฮบริดเท่านั้น
eDrive จะแบ่งเป็น 3 โหมด โดยโหมดแรกตั้งค่ามาจากโรงงานหลังสตาร์ทรถก็จะเป็น Auto eDrive ซึ่งเป็นโหมดไฮบริดแบบพาราเรล เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยกันทำงาน สอดรับสลับเปลี่ยนตามความเหมาะสม
ในช่วงความเร็วต่ำ หรือออกตัวเบาๆจะเห็นมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานเพียงลำพังซึ่งรถจะเดินเรียบและเงียบมากๆ จนกระทั่งใช้ความเร็วเกิน 40-50 กม./ชม.ขึ้นไป เครื่องยนต์ถึงจะติดขึ้นมาพร้อมทำงานเป็นหลัก ขณะที่มอเตอร์จะเข้ามาช่วยเสริมการทำงาน (เครื่องยนต์ไม่ต้องทำงานหนักเกินไปถ้าขับความเร็วสูง) เช่นเดียวกับการถอนคันเร่งหรือเบรก ระบบจะนำพลังงานจลน์ที่สูญเสียไปจากการที่เพลาหมุนไปเปล่าๆ นำกลับมาปั่นไฟเพื่อเก็บไว้ในแบตเตอรี ลักษณะการทำงานเหมือนกับรถไฮบริดทั่วๆไป
ในโหมด Auto eDrive ที่เป็นโหมดพื้นฐาน ผู้เขียนว่าเพียงพอต่อการใช้งานจริง อัตราเร่งสมเหตุสมผลกับรถคันโต ความยาวเกือบ 5 เมตร น้ำหนักกว่าสองตัน การตอบสนองดีพอสมควร เห็นว่าอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ระดับ 6.8 วินาที ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับ X5 xDrive30d เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ 3.0 ลิตร เลยทีเดียว (เวอร์ชันในยุโรป 258 แรงม้า ทำได้ 6.9 วินาที)
โหมดที่สองเป็นแบบ Max eDrive โหมดนี้เครื่องยนต์จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการขับเคลื่อนเลย ไม่ว่าผู้เขียนจะกดคันเร่งแรงๆ หรือเหยียบลึกนานขนาดไหน เครื่องยนต์ก็จะไม่ติดขึ้นมา โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ
ทั้งนี้ในโหมด Max eDrive การตอบสนองอืดกว่าโหมดแรกแน่ๆ ถ้าใครคิดจะใช้วิ่งในออโต้บาห์น ไม่น่าจะเหมาะสม ขณะเดียวกันระบบยังจำกัดความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. ส่วนจะวิ่งได้ระยะทางใกล้-ไกลแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับประจุไฟในแบตเตอรี่และน้ำหนักเท้าในการเหยียบคันเร่ง
บีเอ็มดับเบิลยูระบุว่าถ้าแบตเตอรี่มีไฟเต็ม (ใช้เวลาเสียบปลั๊กชาร์จไฟประมาณ 3 ชั่วโมงหรือต่ำกว่า) รถจะวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าได้ระยะทางถึง 30 กิโลเมตรเลยทีเดียว
แต่นั่นละครับขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้ เพราะถ้าคุณเหยียบหนักอัดเต็ม รถอาจจะวิ่งด้วยไฟฟ้าได้เพียง 10-15 กิโลเมตร (ตามการทดสอบของผู้เขียน) แต่ถ้าคิดว่าใช้ในเมืองรถติดๆ ไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันและไม่ปล่อยมลพิษเลย ระยะทาง 30 กิโลเมตรก็มีความเป็นไปได้
ความตั้งใจของโหมด Max eDrive น่าจะหวังให้ใช้สำหรับการขับขี่ในเมือง ไม่ต้องเร่งแรงรวดเร็วไปไหน เพราะถ้าแบตเตอรี่ชาร์จเต็มจากบ้าน มุ่งหมายขับไปที่ทำงาน หรือห้างร้านชอปปิ้ง ในระยะทางไม่เกิน 30 กิโลเมตร นั่นเท่ากับว่าคุณไม่ต้องเสียเงินค่าน้ำมันเลย
เมื่อไปถึงจุดหมายก็หาที่เสียบชาร์จไฟ อย่างในเยอรมนีมีแพร่หลาย ตามบริษัทใหญ่ๆ และห้างร้าน ศูนย์ราชการ (ซึ่งจะมีช่องจอดเฉพาะถือเป็นเอกสิทธิ์ของคนใช้รถพลังงานไฟฟ้าอีกประการหนึ่ง) จอดทิ้งไว้ไปทำธุระกลับมาก็มีประจุไฟเพียงพอให้ขับกลับบ้านได้ แบบไม่ต้องพึ่งพาสถานีบริการน้ำมันอีกเช่นเคย
…สรุป Max eDrive คือจุดเด่นอันเป็นจุดขายของรถปลั๊กอิน ไฮบริด นั่นเอง
ปิดท้ายด้วยโหมด SAVE ที่ระบบจะสั่งงานให้รถเก็บพลังงานกลับเข้ามาในแบตเตอรี่มากที่สุด ซึ่งระหว่างขับขี่เครื่องยนต์อาจจะต้องมีภาระทั้งการขับเคลื่อน และส่งแรงไปปั่นไฟเพื่อเก็บไว้ในแบตเตอรี่ให้มากขึ้น เช่นเดียวกับมอเตอร์ไฟฟ้าก็จะลดบทบาทในการขับเคลื่อนลง เพื่อรักษาประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่เอาไว้ให้มากที่สุด
นั่นเป็น 3 โหมดการขับขี่ในระบบ eDrive ที่เป็นเหตุเป็นผล และมีลักษณะการใช้งานที่ต่างกันไป
เหนืออื่นใด จุดเด่นของระบบ eDrive ยังอยู่ที่ความนุ่มนวลต่อเนื่องของการสอดประสานกำลังระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า กล่าวคือถ้าวิ่งในโหมด Auto eDrive ที่ระบบจะคิดแทนให้เสร็จสรรพว่าจะใช้ขุมพลังอะไรขับเคลื่อนตอนไหน เพื่อให้ได้สมรรถนะสูงสุด และคงประสิทธิภาพของการประหยัดพลังงานเอาไว้ (บีเอ็มดับเบิลยูเคลมตัวเลขการจิบน้ำมันเฉลี่ยไว้ 30 กม./ลิตร)
ระบบบริหารจัดการพลังงานของบีเอ็มดับเบิลยูนับว่ายอดเยี่ยมสุดๆ เพราะให้ความรู้สึกเนียนเงียบตลอดการขับขี่ แม้ช่วงขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน แทบไม่ได้ยินเสียงของการทำงาน หากไม่จับสังเกตจากรอบเครื่องยนต์(ว่าดีดเด้งขึ้นมา) หรือมองที่หน้าปัดแสดงผลการใช้พลังงาน ก็อาจจะไม่รู้ว่าเครื่องยนต์ทำงานตอนไหน
...ลืมระบบไฮบริดรุ่นเก่าที่ บีเอ็มดับเบิลยูเคยใช้ใน ซีรีย์ 3,5,7 ที่ออกอาการหัวทิ่มหัวตำรุนแรงไปได้เลย
ขณะเดียวกันภายในห้องโดยสารก็เงียบกริบ ทั้งการขับความเร็วต่ำและความเร็วสูง ส่วนช่วงล่างและการควบคุม บีเอ็มดับเบิลยูย้ำว่าพยายามเซ็ทให้เหมือนกับรุ่นเครื่องยนต์ปกติมากที่สุด ซึ่งความหนึบแน่น พร้อมการถ่ายเทน้ำหนักหน้าหลังที่สมดุลก็ไม่ได้หายไป สอดคล้องกับการควบคุมพวงมาลัยแบบเซอร์โวทรอนิกที่ปรับการตอบสนองตามสภาพการขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เน้นขับสบายการกระจายน้ำหนักให้สมดุล แม้จะมีแพกแบตเตอรี่วางอยู่ด้านหลัง (บีเอ็มดับเบิลยูบอกว่าถ้าใช้แบตเตอรี่ใหญ่กว่านี้รถสามารถวิ่งในโหมด Max eDrive ได้ระยะทางไกลขึ้น แต่จะทำให้สมดุลของการทรงตัวขาดหายไป รวมถึงพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังก็จะลดลง) ที่สำคัญอย่าลืมว่า X5 xDrive40e ยังมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ xDrive ที่ช่วยเติมเต็มสมรรถนะการขับขี่และให้ความมั่นใจในระดับสูง
รวบรัดตัดความ...เอสยูวีรุ่นใหญ่มากับเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งเป็นการพัฒนาไปตามกระแสโลก เช่นเดียวกับคู่แข่งจากเยอรมนีอย่าง “ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี ไฮบริด” ที่ขายในเมืองไทยด้วยราคา 7.99 ล้านบาท ขณะที่ X5 xDrive40e เตรียมนำเข้ามาขายอย่างเร็วคือช่วงปลายปีนี้ในราคาที่ถูกกว่ามาก คาดว่าน่าจะอยู่ระดับ 6 ล้านบาท(บวก,ลบ) ดังนั้นเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่ได้รับ และสมรรถนะการขับขี่อันยอดเยี่ยม พร้อมอัตราบริโภคน้ำมันเป็นมิตรมากขึ้น (ขับบางครั้งไม่ต้องใช้น้ำมันเลย) นับว่าน่าสนใจมากสำหรับคนที่กำลังมองหาเอสยูวีระดับท็อปคลาส
ทดสอบ BMW X5 xDrive40e ออกอากาศทางรายการ "มอเตอริ่ง ออนแอร์" ช่อง News1
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring
…ค่ายรถยนต์เพิ่มเซกเมนต์ใหม่ๆ ซอยย่อยไลน์อัพ เรียกว่ายุคนี้ใครไม่ทำเอสยูวีถือว่าแปลก!!!
ลองดูทิศทางของบีเอ็มดับเบิลยูก็ได้ครับ ปัจจุบันมีเอสยูวีที่ค่ายนี้เรียกว่า “เอสเอวี” (SAV - Sports Activity Vehicle) ทำตลาดไล่ตั้งแต่ X1,X3,X4,X5 และ X6 ซึ่งตัวเลขคู่จะหมายถึงตัวถังแบบสปอร์ตคูเป้(5 ประตู)
ล่าสุดพี่ใหญ่ในอนุกรมเอสยูวีอย่าง X5 (เอ็กซ์5) ที่ปัจจุบันเดินทางมาถึงเจเนอเรชันที่ 3 (รหัส F15) ยังเพิ่มความน่าสนใจและถือเป็นการพัฒนาไปอีกขั้นของบีเอ็มดับเบิลยูด้วยการเปิดตัวรุ่น “ปลั๊กอิน ไฮบริด” ที่ผสานการขับเคลื่อนระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ กับมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด
แน่นอนว่าระบบนี้ยังเหนือชั้นด้วยความสามารถในการเสียบชาร์จไฟเข้ากับตัวรถ เก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน เพื่อให้รถวิ่งได้ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ หรือไม่ต้องพึ่งพาเครื่องยนต์(น้ำมัน) ได้ในระยะทางหนึ่ง
สำหรับระบบ“ปลั๊กอิน ไฮบริด” เป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ในเทคโนโลยีที่บีเอ็มดับเบิลยูเรียกว่า BMW Efficient Dynamic eDrive เริ่มใช้มาก่อนหน้ากับ i3 (EVแบบขยายระยะทางวิ่ง) และ i8 ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยูวางให้รถยนต์ตระกูล i เป็นอีกซับแบรนด์หนึ่งของค่าย ดังนั้นคราวนี้จึงถือเป็นการใช้เทคโนโลยี eDrive กับรถยนต์แบรนด์หลักเป็นครั้งแรก ซึ่ง X5 ก็ได้รับเกียรตินั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี eDrive จะเริ่มใส่ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆของบีเอ็มดับเบิลยูที่จะทยอยเปิดตัวนับจากนี้ หรือที่เป็นข่าวไปแล้วอย่าง ซีรีย์3 ไมเนอร์เชนจ์ และซีรีย์7 โมเดลเชนจ์
โดย X5 กับเทคโนโลยี eDrive จะขายในชื่อ X5 xDrive40e ซึ่งผู้เขียนมีโอกาสไปลองขับถึงกรุงมิวนิค ประเทศเยอรมนี เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
งานนี้ปะปนผู้สื่อข่าวจากยุโรป ญี่ปุ่น และเอเชียบางประเทศ รวมๆก็ไม่เกิน 20 คนครับ (เฉพาะอีเวนต์วันนั้น)
รถเหมือนกันทุกคัน สเปกเดียวกัน สีเดียวกัน ไม่ต้องคิดอะไรมาก ก่อนจะลองขับจริงทีมงานบีเอ็มดับเบิลยูซึ่งล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญ และมีส่วนในการพัฒนารถยนต์รุ่นนี้มาแนะนำรายละเอียดพอสังเขป
นอกเหนือจากระบบขับเคลื่อนที่ต่างจากรุ่นเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลทั่วไป พร้อมแนะนำวิธีการเปลี่ยนโหมดและความสามารถต่างๆแล้ว ทีมงานบีเอ็มดับเบิลยูยังชี้แจงว่า พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังนั้นน้อยกว่า X5 รุ่นปกติแน่ๆ เพราะต้องวางแพกแบตเตอรี่ไว้ด้านล่าง(บนเพลาขับหลัง) ทำให้ต้องยกพื้นสูงขึ้นมาอีกนิด
ถ้าไม่พับเบาะหลัง X5 xDrive40e จะมีปริมาตรความจุประมาณ 500 ลิตร แต่ถ้าพับเบาะนั่งแถวสองให้ราบลงจะเพิ่มพื้นที่ได้เป็น 1,720 ลิตร (ถ้า X5 รุ่นเครื่องยนต์ปกติจะเป็น 1,870 ลิตร)
…ยอมรับว่าเสียพื้นที่ไปบ้างจากแพกแบตเตอรี่ แต่ยังมีเหลือพอสำหรับความอเนกประสงค์ที่ใช้งานได้อีกมาก
ในส่วนการขับขี่รถพวงมาลัยซ้าย ขับชิดขวา ต้องปรับความรู้สึกกันสักระยะครับ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมและปุ่มสั่งงานต่างๆ โดยเริ่มออกตัวจาก Press Service center (ศูนย์รับรถทดสอบ) ของบีเอ็มดับเบิลยูที่“การ์ชิง” (Garching) มุ่งลงใต้เข้าสู่เมืองมิวนิค ผ่านการจราจรหนาแน่น จากนั้นออกนอกเมืองใช้ออโตบาห์น เป้าหมายอยู่ที่ทะเลสาบ tegernsee และย้อนกลับมาเส้นทางเดิมอีกครั้ง เพื่อไปจบการทดสอบในช่วงเช้าที่สำนักงานใหญ่ของบีเอ็มดับเบิลยู (ตึกรูปทรงลูกสูบ) แถวๆโอลิมเปียปาร์ค (สนามโอลิมปิกสเตเดียม) ระยะทางก็เกือบๆ 200 กิโลเมตรครับ
โดย X5 xDrive40e จะมีปุ่มให้เลือกโหมดการขับขี่ eDrive ฝังอยู่บริเวณคอนโซลกลาง ใกล้ๆคันเกียร์ ซึ่งเป็นคนละปุ่มกับการเลือกโหมดการขับขี่แบบ Eco Normal Sport ที่เราคุ้นเคยนะครับ ซึ่งโหมดนี้จะเกี่ยวข้องกับระบบไฮบริดเท่านั้น
eDrive จะแบ่งเป็น 3 โหมด โดยโหมดแรกตั้งค่ามาจากโรงงานหลังสตาร์ทรถก็จะเป็น Auto eDrive ซึ่งเป็นโหมดไฮบริดแบบพาราเรล เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยกันทำงาน สอดรับสลับเปลี่ยนตามความเหมาะสม
ในช่วงความเร็วต่ำ หรือออกตัวเบาๆจะเห็นมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานเพียงลำพังซึ่งรถจะเดินเรียบและเงียบมากๆ จนกระทั่งใช้ความเร็วเกิน 40-50 กม./ชม.ขึ้นไป เครื่องยนต์ถึงจะติดขึ้นมาพร้อมทำงานเป็นหลัก ขณะที่มอเตอร์จะเข้ามาช่วยเสริมการทำงาน (เครื่องยนต์ไม่ต้องทำงานหนักเกินไปถ้าขับความเร็วสูง) เช่นเดียวกับการถอนคันเร่งหรือเบรก ระบบจะนำพลังงานจลน์ที่สูญเสียไปจากการที่เพลาหมุนไปเปล่าๆ นำกลับมาปั่นไฟเพื่อเก็บไว้ในแบตเตอรี ลักษณะการทำงานเหมือนกับรถไฮบริดทั่วๆไป
ในโหมด Auto eDrive ที่เป็นโหมดพื้นฐาน ผู้เขียนว่าเพียงพอต่อการใช้งานจริง อัตราเร่งสมเหตุสมผลกับรถคันโต ความยาวเกือบ 5 เมตร น้ำหนักกว่าสองตัน การตอบสนองดีพอสมควร เห็นว่าอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ระดับ 6.8 วินาที ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับ X5 xDrive30d เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ 3.0 ลิตร เลยทีเดียว (เวอร์ชันในยุโรป 258 แรงม้า ทำได้ 6.9 วินาที)
โหมดที่สองเป็นแบบ Max eDrive โหมดนี้เครื่องยนต์จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการขับเคลื่อนเลย ไม่ว่าผู้เขียนจะกดคันเร่งแรงๆ หรือเหยียบลึกนานขนาดไหน เครื่องยนต์ก็จะไม่ติดขึ้นมา โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ
ทั้งนี้ในโหมด Max eDrive การตอบสนองอืดกว่าโหมดแรกแน่ๆ ถ้าใครคิดจะใช้วิ่งในออโต้บาห์น ไม่น่าจะเหมาะสม ขณะเดียวกันระบบยังจำกัดความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. ส่วนจะวิ่งได้ระยะทางใกล้-ไกลแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับประจุไฟในแบตเตอรี่และน้ำหนักเท้าในการเหยียบคันเร่ง
บีเอ็มดับเบิลยูระบุว่าถ้าแบตเตอรี่มีไฟเต็ม (ใช้เวลาเสียบปลั๊กชาร์จไฟประมาณ 3 ชั่วโมงหรือต่ำกว่า) รถจะวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าได้ระยะทางถึง 30 กิโลเมตรเลยทีเดียว
แต่นั่นละครับขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้ เพราะถ้าคุณเหยียบหนักอัดเต็ม รถอาจจะวิ่งด้วยไฟฟ้าได้เพียง 10-15 กิโลเมตร (ตามการทดสอบของผู้เขียน) แต่ถ้าคิดว่าใช้ในเมืองรถติดๆ ไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันและไม่ปล่อยมลพิษเลย ระยะทาง 30 กิโลเมตรก็มีความเป็นไปได้
ความตั้งใจของโหมด Max eDrive น่าจะหวังให้ใช้สำหรับการขับขี่ในเมือง ไม่ต้องเร่งแรงรวดเร็วไปไหน เพราะถ้าแบตเตอรี่ชาร์จเต็มจากบ้าน มุ่งหมายขับไปที่ทำงาน หรือห้างร้านชอปปิ้ง ในระยะทางไม่เกิน 30 กิโลเมตร นั่นเท่ากับว่าคุณไม่ต้องเสียเงินค่าน้ำมันเลย
เมื่อไปถึงจุดหมายก็หาที่เสียบชาร์จไฟ อย่างในเยอรมนีมีแพร่หลาย ตามบริษัทใหญ่ๆ และห้างร้าน ศูนย์ราชการ (ซึ่งจะมีช่องจอดเฉพาะถือเป็นเอกสิทธิ์ของคนใช้รถพลังงานไฟฟ้าอีกประการหนึ่ง) จอดทิ้งไว้ไปทำธุระกลับมาก็มีประจุไฟเพียงพอให้ขับกลับบ้านได้ แบบไม่ต้องพึ่งพาสถานีบริการน้ำมันอีกเช่นเคย
…สรุป Max eDrive คือจุดเด่นอันเป็นจุดขายของรถปลั๊กอิน ไฮบริด นั่นเอง
ปิดท้ายด้วยโหมด SAVE ที่ระบบจะสั่งงานให้รถเก็บพลังงานกลับเข้ามาในแบตเตอรี่มากที่สุด ซึ่งระหว่างขับขี่เครื่องยนต์อาจจะต้องมีภาระทั้งการขับเคลื่อน และส่งแรงไปปั่นไฟเพื่อเก็บไว้ในแบตเตอรี่ให้มากขึ้น เช่นเดียวกับมอเตอร์ไฟฟ้าก็จะลดบทบาทในการขับเคลื่อนลง เพื่อรักษาประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่เอาไว้ให้มากที่สุด
นั่นเป็น 3 โหมดการขับขี่ในระบบ eDrive ที่เป็นเหตุเป็นผล และมีลักษณะการใช้งานที่ต่างกันไป
เหนืออื่นใด จุดเด่นของระบบ eDrive ยังอยู่ที่ความนุ่มนวลต่อเนื่องของการสอดประสานกำลังระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า กล่าวคือถ้าวิ่งในโหมด Auto eDrive ที่ระบบจะคิดแทนให้เสร็จสรรพว่าจะใช้ขุมพลังอะไรขับเคลื่อนตอนไหน เพื่อให้ได้สมรรถนะสูงสุด และคงประสิทธิภาพของการประหยัดพลังงานเอาไว้ (บีเอ็มดับเบิลยูเคลมตัวเลขการจิบน้ำมันเฉลี่ยไว้ 30 กม./ลิตร)
ระบบบริหารจัดการพลังงานของบีเอ็มดับเบิลยูนับว่ายอดเยี่ยมสุดๆ เพราะให้ความรู้สึกเนียนเงียบตลอดการขับขี่ แม้ช่วงขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน แทบไม่ได้ยินเสียงของการทำงาน หากไม่จับสังเกตจากรอบเครื่องยนต์(ว่าดีดเด้งขึ้นมา) หรือมองที่หน้าปัดแสดงผลการใช้พลังงาน ก็อาจจะไม่รู้ว่าเครื่องยนต์ทำงานตอนไหน
...ลืมระบบไฮบริดรุ่นเก่าที่ บีเอ็มดับเบิลยูเคยใช้ใน ซีรีย์ 3,5,7 ที่ออกอาการหัวทิ่มหัวตำรุนแรงไปได้เลย
ขณะเดียวกันภายในห้องโดยสารก็เงียบกริบ ทั้งการขับความเร็วต่ำและความเร็วสูง ส่วนช่วงล่างและการควบคุม บีเอ็มดับเบิลยูย้ำว่าพยายามเซ็ทให้เหมือนกับรุ่นเครื่องยนต์ปกติมากที่สุด ซึ่งความหนึบแน่น พร้อมการถ่ายเทน้ำหนักหน้าหลังที่สมดุลก็ไม่ได้หายไป สอดคล้องกับการควบคุมพวงมาลัยแบบเซอร์โวทรอนิกที่ปรับการตอบสนองตามสภาพการขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เน้นขับสบายการกระจายน้ำหนักให้สมดุล แม้จะมีแพกแบตเตอรี่วางอยู่ด้านหลัง (บีเอ็มดับเบิลยูบอกว่าถ้าใช้แบตเตอรี่ใหญ่กว่านี้รถสามารถวิ่งในโหมด Max eDrive ได้ระยะทางไกลขึ้น แต่จะทำให้สมดุลของการทรงตัวขาดหายไป รวมถึงพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังก็จะลดลง) ที่สำคัญอย่าลืมว่า X5 xDrive40e ยังมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ xDrive ที่ช่วยเติมเต็มสมรรถนะการขับขี่และให้ความมั่นใจในระดับสูง
รวบรัดตัดความ...เอสยูวีรุ่นใหญ่มากับเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งเป็นการพัฒนาไปตามกระแสโลก เช่นเดียวกับคู่แข่งจากเยอรมนีอย่าง “ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี ไฮบริด” ที่ขายในเมืองไทยด้วยราคา 7.99 ล้านบาท ขณะที่ X5 xDrive40e เตรียมนำเข้ามาขายอย่างเร็วคือช่วงปลายปีนี้ในราคาที่ถูกกว่ามาก คาดว่าน่าจะอยู่ระดับ 6 ล้านบาท(บวก,ลบ) ดังนั้นเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่ได้รับ และสมรรถนะการขับขี่อันยอดเยี่ยม พร้อมอัตราบริโภคน้ำมันเป็นมิตรมากขึ้น (ขับบางครั้งไม่ต้องใช้น้ำมันเลย) นับว่าน่าสนใจมากสำหรับคนที่กำลังมองหาเอสยูวีระดับท็อปคลาส
ทดสอบ BMW X5 xDrive40e ออกอากาศทางรายการ "มอเตอริ่ง ออนแอร์" ช่อง News1
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring